นิวส์​ คอนเน็คท์​ -​ UBE วางเป้ายอดขายปีเสือโตแรง​ 30% รุกขายผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมากขึ้น ได้มาร์จิ้นงาม​ 50% พร้อมเพิ่มสัดส่วนยอดขายเป็น​ 70% ภายใน​ 5​ ปี​ โบรกส่องกำไรเติบโตแกร่ง​ เคาะเป้าหุ้น​ 3.20​ บาท

เมื่อวันที่​ 12​ มกราคม​ 2565​ นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 65 เติบโต 30% จากปีก่อน จะเน้นไปที่การรุกขายผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมากขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายของบริษัทให้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นเป็นสินค้าที่ให้มาร์จิ้นระดับสูงกว่า 50% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ต้นน้ำที่มีมาร์จิ้น 30-40%

โดยในปี 65 บริษัทได้เปิดตัว แบรนด์ Tasuko ฟลาวมันสำปะหลังที่ปราศจากกลูเตน (Gluten Free) สามารถใช้ประกอบอาหาร และผลิตภัณฑ์เบเกอรีได้หลายชนิด เช่นเดียวกับแป้งสาลีและยังมีคุณสมบัติที่พิเศษเฉพาะตัว คือ สีกลิ่น รสชาติ และเนื้อสัมผัส ที่มีความใกล้เคียงกับแป้งสาลีมากกว่าแป้งทางเลือกอื่น​ เหมาะกับผู้บริโภคทั่วไป ทั้งที่แพ้และไม่แพ้กลูเตน แถมยังออแกนิค ได้รับการรับรองต่างๆ มากมายระดับสากล นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาประกอบอาหารเป็นเมนูเพื่อสุขภาพได้ เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ใช้หัวมันสำปะหลังออแกนิคทั้งหัว ทำให้มีกากใยสูง (High Fiber) สามารถนำไปทำเบเกอรี และประกอบอาหารเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ สำหรับคนแพ้กลูเตน รวมถึงกลุ่มผู้ที่ใส่ใจสุขภาพในปัจจุบัน

โดยบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในช่วง 5 ปีนี้เป็น 70% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 10% โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ในการร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลายน้ำออกมาให้มีความหลากหลาย ซึ่งมีพันธมิตรหลายรายสนใจเข้ามาเจรจา​ โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ ข้าว และสารให้ความหวาน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในครึ่งปีแรกของปี 65 จำนวน 2-3 ดีล นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมงบลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตฟลาวมันสำปะหลังในปีนี้ไว้ที่ 400-500 ล้านบาท

ด้าน​ บล.เอเอสแอล ระบุว่าผลประกอบการของ​ UBE​ ปี​ 64 – 66​ ประเมินรายได้จากการขายเท่ากับ 6,794 ล้านบาท 7,426 ล้านบาท และ 8,620 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย​ 8.3% ในช่วง 3 ปี จากแผนในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์อินทรีย์อื่นๆ โดยเฉพาะแป้งมันสำปะหลังออแกนิค แป้งฟลาวมันสำปะหลังธรรมดาและออแกนิค ประกอบกับเริ่มมีรายได้จากผลิตภัณฑ์อินทรีย์อื่นๆ มากขึ้น ด้านธุรกิจเอทานอลเน้นรักษาส่วนแบ่งการตลาดจากฐานลูกค้าเดิม 

ขณะที่ประเมินกำไรสุทธิเท่ากับ 312 ล้านบาท 447 ล้านบาท และ 529 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย19% ในช่วง 3 ปี โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 3.20​ บาท