Phones





FETCO คาดดัชนีเชื่อมั่น 3 เดือนหน้าร่วง 27.5%

2022-02-07 14:56:01 235




นิวส์ คอนเน็คท์ - FETCO คาดดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 93.91 ปรับตัวลดลง 27.5% หลังนักลงทุนกังวล FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย-เศรษฐกิจในประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนมกราคม 2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 93.91 ปรับตัวลดลง 27.5% จากเดือนก่อนหน้าลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” โดยความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และแผนการกระจายวัคซีนป้องกัน Covid-19  

สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ส่วนผลสำรวจ ณ เดือนมกราคม 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับลด 4.6% อยู่ที่ระดับ 121.74 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 8.3% อยู่ที่ระดับ 108.33 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 2.9% อยู่ที่ระดับ 125.00 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 64.3% มาอยู่ที่ระดับ 50.00

ในช่วงเดือนมกราคม 2565 SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบอยู่ระหว่าง 1,634.17—1,680.02 จุด โดยดัชนีมีความผันผวนในช่วงต้นเดือนจากความกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดและมีแนวโน้มปรับขึ้นหลายครั้ง รวมทั้งความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เพิ่มขึ้นหลังเทศกาลปีใหม่ ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐชะลอการรับนักท่องเที่ยว

 

ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนมกราคม SET Index ปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกหลังผลการประชุม FED จากความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดย SET Index ณ สิ้นเดือนมกราคม 2565 ปิดที่ 1,648.81 จุด ปรับตัวลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้า

ด้านปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์โอมิครอนซึ่งยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศเนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น ผลต่อนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากการที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดย FED มีแผนปรับลด QE เร็วขึ้น ซึ่ง QE Taper จะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2565 ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพคล่องในระบบการเงินโดยอาจปรับลดลงเร็วกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ และ FED มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้ 

รวมถึงปัญหาการขาดแคลนพลังงานในยุโรปซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เงินเฟ้อในยูโรโซนปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยุโรปมีแผนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเช่นเดียวกับธนาคารกลางจีน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความขัดแย้งในหลายประเทศที่ต้องจับตามอง เช่น รัสเซีย—ยูเครน สถานการณ์ในตะวันออกกลาง 

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้นซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การผ่อนคลายมาตรการของภาครัฐต่อการเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ”