Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
JR คว้าโปรเจคโซลาร์รูฟฯ ม.กรุงเทพฯ มูลค่ารวม 86.56 ลบ.
MAI
CPANEL เดินเครื่องโรงงานใหม่-รับงานเพิ่ม งบ Q1/67 กำไร 10.15 ล.
IPO
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “PCL” ขายไอพีโอ 410 ล้านหุ้น
บล./บลจ
โกลเบล็ก ชี้หุ้นไทย พ.ค. ไซด์เวย์ คัดหุ้นเด่นรับแผนลงทุนไมโครซอฟท์
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
กรุงศรี ส่องกรอบเงินบาท 36.50-37.00 บ. หลังจ้างงานสหรัฐฯลดความร้อนแรง
การค้า - พาณิชย์
TikTok ผนึก SME D Bank เสริมทักษะดิจิทัล – แหล่งเงินทุนแก่เอสเอ็มอี
พลังงาน - อุตสาหกรรม
TOA เดินหน้าพันธกิจ พิชิต Net Zero
คมนาคม - โลจิสติกส์
‘ทริพเพิล ไอ’ ชูยุทธศาสตร์ Logistics and Beyond อัพแกร่ง
แบงก์ - นอนแบงก์
UOB แนะนำพอร์ตลงทุนที่แข็งแกร่งแก่ลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
อบาคัส ดิจิทัล จับมือ บิ๊กซี ส่ง “มันนี่ทันเดอร์” รุกสินเชื่อออนไลน์
SMEs - Startup
“กรุงศรี ฟินโนเวต” เข้าลงทุนใน “Doppio Tech” หนุนสร้างบุคลากรสายเทค
ประกันภัย - ประกันชีวิต
"ที ไลฟ์" ออก “ประกันออมทรัพย์ Super Saving 3/1” ออมสั้น 3 ปี
รถยนต์
GPI โชว์ยอดจองรถงาน “มอเตอร์โชว์” 58,611 คัน
ท่องเที่ยว
ttb analytics ประเมินเงินสะพัดกว่า 4.2 หมื่นล.ในช่วงสงกรานต์ปี 67
อสังหาริมทรัพย์
DRT ไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 203.69 ล้านบ. เพิ่มขึ้น 14.85%
การตลาด
COTTO ส่งนวัตกรรม ‘QUINTA Basin’ คว้า 4 รางวัลในไทยและระดับโลก
CSR
“กรุงศรี ฟินโนเวต” เข้าลงทุนใน “Doppio Tech” หนุนสร้างบุคลากรสายเทค
Information
QTC ร่วมบริจาคโลหิตใน “โครงการรวมพลังคนไทย บริจาคโลหิต”
Gossip
ศุภาลัย ร่อนโปรฯ เด็ด “ของแทร่ แฟร์ทุกช้อยส์”
Entertainment
บอร์ดแพทย์ประกันสังคม เห็นชอบเพิ่มสิทธิประโยชน์รักษาผู้ประกันตนป่วยมะเร็ง
สกุ๊ป พิเศษ
NER เดินหน้าโตแกร่ง ควบคู่เน้น ESG
SCB CIO แนะลงทุนใน Private Asset และStructure Note
2022-03-21 18:30:06
320
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB CIO ประเมินผลการประชุมเฟด เป็นไปตามที่ตลาดคาด ด้านตลาดหุ้นจีนเริ่มฟื้นตัวหลังเผชิญความผันผวนจากความกังวลเรื่องการคุมเข้มกฎระเบียบและความเสี่ยงหุ้นจีนที่จะถูกถอดถอนออกจากตลาดสหรัฐฯ แนะควรกระจายการลงทุนในPrivate Assets และ Structure Note เพื่อช่วยลดความผันผวน
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด เกี่ยวกับแผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปีนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ แต่ยังต้องจับตาระดับเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าหากพิจารณาผลการประชุมเฟด เมื่อวันที่ 15-16 มี.ค. ที่ผ่านมา การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.5% โดยได้ปรับคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ย (Dot Plot) ล่าสุดในปี 65 อยู่ที่ 7 ครั้ง ในปี 66 อยู่ที่ 3-4 ครั้ง และในปี 67 อยู่ที่ 2 ครั้ง ทำให้ปลายปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00%
โดย SCB CIO มองว่าเฟด ให้ความสำคัญต่อเป้าหมายเสถียรภาพเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนการลดงบดุลมองว่าเฟดจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำการลดงบดุลในการประชุมเดือน พ.ค. รวมถึงยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมจากรายงานการประชุมเฟดรอบนี้ที่จะถูกเปิดเผยในวันที่ 6 เม.ย.นี้
ทั้งนี้ สัญญาณราคาพลังงานและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าที่จะเป็นตัวกำหนดระดับการขึ้นดอกเบี้ยในแต่ละรอบการประชุม โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยในรอบที่เหลือของปีจะมีโอกาสขึ้นได้มากกว่า 0.25% หรือไม่ หากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อและราคาสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนั้น มองว่าเฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตามในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งอาจจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ต่อเนื่อง SCB CIO คาดว่าผลกระทบต่อดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น (2 ปี) และระยะยาว (10 ปี) ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่อาจจะยังไม่เกิดสภาวะ Inverted Yield Curve (เส้นผลตอบแทนพันธบัตรที่กลับด้านจากปกติ จากการที่ระดับดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้นเร็วจนมีค่ามากกว่าระดับระยะยาว) ทำให้มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า
ขณะที่ความผันผวนในตลาดหุ้นจีนยังไม่หมดไป แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลในช่วงสั้น พร้อมจับตาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้น Offshore (จดทะเบียนนอกตลาดจีน) ปรับฐานรุนแรงทั้งจากความกังวลด้านการคุมเข้มกฎระเบียบและความเสี่ยงที่หุ้นจีนบางบริษัทจะถูกถอดถอน (Delist) ออกจากตลาดสหรัฐฯ SCB CIO มองประเด็นความเสี่ยงด้านการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulation Risk) ยังเป็นความเสี่ยงต่อหุ้นจีนในระยะข้างหน้า แต่เชื่อว่าขนาดของผลกระทบจะไม่รุนแรงดังเช่นในปี 64 ที่ทางการจีนเน้นคุมเข้มทั้งอุตสาหกรรม แต่การคุมเข้มในระยะข้างหน้าจะเน้นเฉพาะบริษัทที่ไม่ทำตามกฎและขัดขืนคำสั่งมากกว่า
ด้านความกังวลการถูกถอดถอนออกจากตลาดสหรัฐฯ (Delisting Risk) SCB CIO มองความเสี่ยงนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นที่รับรู้ของตลาดอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว หลังจาก HFCAA (Holding Foreign Companies Accountable Act) ถูกลงนามเป็นกฎหมายในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 63 ทั้งนี้ การเพิกถอนไม่ได้เกิดทันที โดยจะเกิดการเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดเฉพาะในกรณีที่ PCAOB (Public Company Accounting Oversight Board) ของสหรัฐฯ ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลจากผู้สอบบัญชีของบริษัทได้เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันเท่านั้น อีกทั้ง กรณีเลวร้ายหากถูกถอดถอน หลายบริษัทจีนในตลาดสหรัฐฯ ยังสามารถกลับเข้ามาจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงได้ ทำให้มองผลกระทบค่อนข้างจำกัด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดเพิ่มเติม คือ กรณีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งหากสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรหรือกีดการทางการค้าการลงทุนต่อจีนเพิ่มจากการที่จีนไม่ยอมประกาศคว่ำบาตรรัสเซียตามชาติมหาอำนาจอื่นๆ ความเสี่ยงนี้อาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินโลกได้มากในระยะต่อไป และจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดอยู่เดิมกลับมาเพิ่มความเข้มข้นและส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกได้ โดยเฉพาะต่อตลาดหุ้นจีนในอนาคต
ทั้งนี้ SCB CIO มองกลยุทธ์การลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นโลก ยังมีความไม่แน่นอน การถือครองเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเป็นสัดส่วนมากกว่าปกติยังเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงสั้นเช่น 20-30% ของเงินลงทุน เพื่อรอจะหวะเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นตลาดหุ้นโลก เมื่อความผันผวนลดลง ตลาดหุ้นไทยและเวียดนามยังน่าลงทุน และควรทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Private Assets เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนด้านราคาน้อยกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ Structure Note จะช่วยบริหาร Downside Risk ของพอร์ตการลงทุนได้ดีมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสาร (Duration) ต่ำเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของดอกเบี้ยโลกขาขึ้น ส่วนตราสารทุน แนะนำทยอยลงทุนในตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบต่ำจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เช่น ตลาดหุ้นไทยและเวียดนาม เนื่องจาก ทั้ง 2 ประเทศ มีเสถียรภาพเศรษฐกิจแข็งแกร่งและตลาดหุ้นรับความผันผวนได้ดีในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่การจัดสรรพอร์ตการลงทุน SCO CIO แนะนำคงสัดส่วนการถือครองเงินสดและสภาพคล่องในระดับมากกว่าปกติ เช่น 20-30% ของเงินลงทุนในช่วงสั้น และทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Private Assets ทั้งในส่วนของ Private Equity และ Private Debt เนื่องจากราคาสินทรัพย์ Private Assets เช่น หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาด จะได้รับผลกระทบด้านราคาต่ำกว่าราคาสินทรัพย์ Public Assets เช่น หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการลงทุนใน Structured Notes เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ซึ่งให้ผลตอบแทนหรือมีมูลค่าเชื่อมโยงกับหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ซึ่งอ้างอิงกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น เช่น ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ หุ้นรายตัว หุ้นหลายตัว ตราสารหนี้ โภคภัณฑ์ สกุลเงิน อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถออกแบบและจำกัดความเสี่ยงได้ตามความเหมาะสม และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ตามความเสี่ยงที่รับได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นโลกและตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอื่นยังมีความไม่แน่นอนสูง
JR คว้าโปรเจคโซลาร์รูฟฯ ม.กรุงเทพฯ มูลค่ารวม 86.56 ลบ.
SKR โชว์กำไร Q1/67 แตะ 237 ลบ. มั่นใจทั้งปีรายได้โต 12-14%
NER โบรกฯ แนะนำ 'ซื้อ' เป้า 6.95 บาท - TIDLOR กำไรนิวไฮ 1.1 พันล้าน
ANI อวดกำไรโค้งแรก 163 ล. เดินหน้าโกยสัญญา GSA หนุนผลงานแกร่ง
NER โบรกฯ ส่อง "แกร่งกว่ากลุ่ม" เคาะเป้า 6.95 บาท
TIDLOR โชว์งบ Q1/67 กำไรนิวไฮ 1,104.1 ล้านบาท โต 15.6%