Phones





GUNKUL เฮ! ปลดล็อกกัญชา เดินเครื่องส่งออกยุโรป-อเมริกา

2022-06-08 16:45:40 398



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – GUNKUL มองสาธารณสุขเตรียมปลดล็อกกัญชา-กัญชาไทยตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.นี้ เป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำและปลายน้ำ รวมถึงเป็นแรงกระตุ้นให้กัญชา-กัญชงเข้าสู่พืชเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ผงาด เตรียมส่งออกช่อดอกกัญชงลุยตลาดโซนยุโรป-อเมริกา หนุนการเติบโตก้าวกระโดด
 
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้พืชกัญชาไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 นับตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.65 ซึ่งมีผลให้ทุกส่วนของกัญชา- กัญชง ไม่เป็นยาเสพติดประเภท 5 ยกเว้นสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% ทำให้ประชาชนสามารถปลูกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องจดแจ้ง มองเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา-กัญชง
 
โดยประเด็นดังกล่าวถือเป็นผลบวกต่อบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนในอนาคตได้ โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในช่วงแรก คือ ผู้ประกอบการกลุ่มต้นน้ำ (ผู้ปลูก) และกลางน้ำ(โรงสกัด) ที่คาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาก่อน ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองราคาสูง และมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำ(กลุ่มเครื่องดื่ม, เครื่องสำอางค์)
 
“การปลดล็อกทั้งกิ่ง ก้าน ช่อดอก และเมล็ด ทำให้กัญชง-กัญชามีโอกาสกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบัน Pfizer Johnson และบริษัทยาระดับ Top 10 ของโลกเจ้าอื่น กำลังสนใจในการนำกัญชง-กัญชามาใช้ ซึ่งตลาดกัญชง-กัญชาสำหรับการใช้ในทางการแพทย์ปัจจุบันมีมูลค่าที่ 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเติบโตได้ถึงปีละ 100% ไปอีก 6-7 ปี ทำให้ตลาดกัญชง-กัญชาเติบโตเป็น 3 แสนล้านเหรียญ” ดร.สมบูรณ์ กล่าว
 
ขณะที่ปัจจุบันราคารับซื้อช่อดอก Medical Grade โดยองค์การเภสัชกรรมอยู่ที่ 45,000 บาทต่อกิโลกรัม โดยต้นหนึ่งสามารถผลิตดอกออกมาได้ 250 กรัม คือ 1 ต้นมีมูลค่าเกือบ 1 หมื่นบาท ส่วนเมล็ดมีราคารับซื้อที่ 800-1,000 บาท โดย 1 ไร่ สามารถผลิตได้ 100 กิโลกรัม โดย GUNKUL มีเป้าหมายต้องการผลิตกัญชง-กัญชาระดับ Medical Grade เพื่อใช้ในทางการแพทย์ การควบคุมการเพาะปลูกจึงสำคัญมาก ซึ่งทำให้มีเคมีตรงกับกลุ่มนักปลูกกัญชงกัญชา (Grower) ที่ได้ร่วมมืออยู่ในปัจจุบันที่เน้นการปลูกแบบไม่มีการปนเปื้อนและมีการควบคุมที่ดี เช่น การปลูกแบบ Hydroponics การใช้น้ำ RO (Reverse Osmosis) การปลูกในวัสดุปลูกดินเผา การเพาะในโรงเรือนแบบกึ่งปิด เป็นต้น
 
ทั้งนี้ การเพาะปลูกกัญชาที่มีคุณภาพเท่านั้นถึงจะมีความยั่งยืน ซึ่งบริษัท มีข้อได้เปรียบทางด้านทรัพยากร คือ มีต้นทุนด้านพลังงานที่ต่ำกว่าและมีพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก และยังมีแหล่งน้ำเพียงพอและพื้นที่มีความแห้ง เย็น และมีอากาศถ่ายเท เนื่องจากใต้กังหันมีลมพัดผ่านตลอดเหมาะกับกัญชง-กัญชา ที่ชอบอากาศประมาณ 20-30 องศา ส่วนการปลูกก็เป็นแบบ Hydroponics ใช้น้ำ RO (Reverse Osmosis) การปลูกในวัสดุปลูกดินเผา การเพาะในโรงเรือนแบบกึ่งปิด ทำให้มั่นใจได้ว่ากัญชา กัญชงที่ GUNKUL เพาะปลูกมีมาตรฐานและมีศักยภาพมากพอสำหรับส่งออกเพื่อใช้การทางการแพทย์
 
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการสร้างโรงงานสกัดที่ได้รับมาตรฐาน PIC/S (Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme) คือ มาตรฐานการผลิตยาขั้นสูง ซึ่งเป็นมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU-GMP) ที่ใช้กันเป็นกฎหมาย โดยอ้างอิงตาม Guideline ของ WHO2003 สำหรับใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่คาดว่าจะพร้อมดำเนินการภายในปี 66 ที่จะถึงเป็นเฟสถัดไป
 
อย่างไรก็ตาม จากการที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องอากาศที่ไม่เย็นจนเกินไป ทำให้มีต้นทุนในการควบคุมสภาพแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับต่างชาติ GUNKUL จึงมีแผนใช้ความได้เปรียบตรงนี้ในการส่งออกช่อดอกแห้งแบบ Medical Grade เพื่อใช้ทางการแพทย์ส่งไปยังต่างประเทศโซนยุโรปและอเมริกา หลังจากการปลดล็อกช่อดอกที่จะมีผลวันที่ 9 มิ.ย.นี้