Phones





SCB WEALTH จัดทัพเสริมแกร่งให้นักลงทุนหลังโควิด19

2022-06-22 21:23:12 221



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB WEALTH กลับมาอีกครั้งในรูปแบบ SCB WEALTH HOLISTIC EXPERTS หวังสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นำทีมโดย SCB WEALTH ADVISORY TEAM ที่พร้อมจะดูแลต่อยอดความมั่งคั่งให้กับลูกค้า Wealth ในประเทศไทย ด้าน SCB CIO เน้น 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตชนะเงินเฟ้อสูงและดอกเบี้ยขาขึ้น
 
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ในภาวะที่ตลาดผันผวน SCB ให้ความสำคัญในการดูแลลูกค้าและให้คำปรึกษาแบบครบวงจร โดยเน้นในเรื่องการสรรหาผลิตภัณฑ์และการจัดพอร์ต Asset Allocation ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงภาวะของการลงทุน
 
โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญจะเป็นการสร้างแบรนด์ที่เน้นเรื่องการให้คำปรึกษาด้านการทำ Wealth planning เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งของลูกค้า และมีการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถของ Wealth RM และ Investment advisor รวมถึง Product capability ที่ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงการมีทีมงานที่เป็นคลังสมองของ SCB WEALTH ประกอบด้วย สายงาน Chief investment officer (CIO) และ Investment office and product ซึ่งเป็นทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์มาจากการเป็นผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้วางแผนการลงทุนซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญ ตอบโจทย์ด้านการบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง มีการทำงานอย่างเป็นระบบ ในการติดตามภาวะตลาดการเงินการลงทุนเพื่อกำหนดกลยุทธ์คัดเลือกผลิตภัณฑ์ และจัดสรรสินทรัพย์การลงทุนให้ลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด สามารถให้คำแนะนำปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที 
 
ขณะที่สายงาน Estate planning and family office เป็นศูนย์ที่ปรึกษาด้านการจัดการทรัพย์สินและมรดกของครอบครัวเพื่อกลุ่มลูกค้า High Net Worth Individuals โดยมุ่งเน้นในการให้คำแนะนำเบื้องต้นอย่างครบวงจรด้านกฎหมาย ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินของครอบครัว และการวางแผนการส่งต่อทรัพย์สินจากรุ่นสู่รุ่น
 
นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเจาะลึกบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งคุณภาพของข้อมูลนับเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การทำธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนประสบความสำเร็จ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ เช่น structured products และ private assets ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงเวลา จึงนับเป็นกำลังที่สำคัญในการเสริมศักยภาพของ SCB WEALTH ให้มีความเข็งแกร่ง สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน
 
ด้านนายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment office and product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO office ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญปัญหาอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวในระดับสูงและมีความเสี่ยงชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้หลายประเทศมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 66-67 โดยมี 3 ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ดังนี้
 
1) ผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทาน ภายหลังจากหลายประเทศที่เป็นฐานของเศรษฐกิจหลักของโลกกำลังกลับเข้าสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบปกติก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่กลับมีการถูกกระทบของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อุปทานด้านแรงงานก็ยังประสบภาวะขาดแคลนทำให้ค่าแรงมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการ, 2) ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical conflicts) มีแนวโน้มยืดเยื้อ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่าง รัสเซีย- ยูเครน ความตึงเครียดระหว่างโลกประชาธิปไตยตะวันตกกับโลกสังคมนิยม ทำให้เกิดการกีดกันในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางการเมือง นโยบาย และ มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ ราคาพลังงานและ อาหารปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อด้านต้นทุน (cost push inflation) ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อตามไปด้วย
 
3) การปรับเปลี่ยนของนโยบายการเงินแบบฉับพลันหลังเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเฉพาะนโยบายการเงินที่เคยมีลักษณะผ่อนคลายทั่วโลก มีการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำและอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยาวนาน และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาของสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อเงินเฟ้อเริ่มเร่งตัวสูงและมีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นอย่างมาก โดยการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและดึงสภาพคล่องออกจากระบบ
 
สำหรับนัยต่อภาพการลงทุน ภาวะเงินเฟ้อสูงที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ จะส่งผลให้วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 65– 66 และส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินโลก ผ่านการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร การลดลงของผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเน้นการเติบโตของรายได้สูงแต่ยังไม่มีกระแสเงินสดรองรับในระยะสั้น (long duration equities) นอกจากนั้นความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ยังจะทำให้ความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีสูงขึ้นอีกด้วย 
 
โดยกลยุทธ์การจัดพอร์ตเพื่อชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้นแบบเร็วและแรง รวมถึงตลาดการเงินโลกที่ยังผันผวน โดยแนะนำ 5 กลยุทธ์ ดังนี้1) สร้างกระแสเงินด้วยการทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพสูง (Build income streams) ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อต่อราคาพลังงานและอาหาร จะยังทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อการขยับขึ้นของเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง การทยอยสะสมพันธบัตรคุณภาพสูง (Investment Grade) จะเป็นการสร้างกระแสรายได้ให้กับพอร์ตโฟลิโอได้
 
2) กระจายความเสี่ยงสู่ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องจับจังหวะการลงทุนก็กำไรได้ (Non-directional products) การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวตามตลาด ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากสงครามและความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย ด้วยการใช้ Market timing อาจเกิดภาวะแรงฉุดจากความผันผวน (Volatility drag) ในพอร์ตโฟลิโอได้ เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภท Private assets จะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอและลดความผันผวนของพอร์ตได้ โดยนักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการเลือกลงทุนใน Private equity, Private credit, และ Private real estate เป็นต้น
 
3) ป้องกันความเสี่ยงด้านต่ำ (Limit downside risk) ด้วยหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง (Structure notes) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงด้านต่ำในการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ได้ในประเด็นนี้ โดยทาง SCB CIO มีทางเลือกหลากหลายในด้านผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น KIKO และ Equity-Linked Note
 
4) มองข้ามความผันผวนระยะสั้นด้วยการลงทุนแบบ Thematic แม้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีแนวโน้มชะลอตัว ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ในระยะปานกลางและระยะยาว ยังมีหลายภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างยั่งยืนได้ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมในกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะธีม Renewable Energy & Decarbonization และ 5) การนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Enhancing return) เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่ SCB CIO พร้อมนำเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยการนำสินทรัพย์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุนที่มีอยู่แล้วมาเป็นหลักประกันในการทำ Lombard loan เพื่อนำไปลงทุนต่อยอดเสริมผลตอบแทนในระยะข้างหน้า