Phones





‘บุญพร’ลั่น! นำทัพ ‘หยวนต้า’ เข้าตลาดหุ้นภายในปี 67

2022-07-26 21:33:32 864



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – “บุญพร” ประกาศเดินเครื่องเต็มสูบ หลังศาลอุทธรณ์-ศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง ปัดฝุ่นแผนนำ บล.หยวนต้า เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นให้สำเร็จภายในปี 67 พร้อมพัฒนาโปรดักส์ตอบโจทย์การลงทุน แย้มมีดีล IPO ที่เตรียมเข้าตลาดจำนวน 6 ดีล มูลค่ามาร์เก็ตแคปกว่า 5 พันล้านบาท
 
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเดินหน้าธุรกิจในทุกๆด้านเพื่อไปสู่เป้าหมายการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) โดยนอกจากการสร้างกำไรสูงสุดให้กับ Stakeholders แล้วยังรวมถึงการมีธรรมาภิบาล และความโปร่งในการบริหารจัดการอย่างมีจริยธรรม โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้มีคำตัดสินเป็นที่สุดโดยการยกฟ้องคำกล่าวหาทุกข้อกล่าวหาแล้วนั้น หลังจากนี้ทาง บล.หยวนต้า จะมุ่งเน้นการพัฒนาทางด้าน Good Governance ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้มาตรฐานของการเป็นบริษัทมหาชนในอนาคต
 
“วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ดิฉันได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์จากการถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้มีคำตัดสินเป็นที่สุดโดยการยกฟ้องคำกล่าวหาทุกข้อกล่าวหา หลังจากนี้ หยวนต้า จะมุ่งเน้นการพัฒนาทางด้าน Good Governance ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้มาตรฐานของการเป็นบริษัทมหาชนในอนาคต และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสนำพาบล.หยวนต้า เข้าจดทะเบียนในตลท.ให้ได้ในที่สุด” นางบุญพร กล่าว
 
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะเข้าจดทะเบียนในตลท. ภายในปี 67 โดยที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่าผลประกอบการในปี 65 อาจจะอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 64 ที่ผ่านมา เนื่องจากภาพรวมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งถือเป็นสัดส่วนรายได้หลักของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
 
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการให้บริการการลงทุนในส่วนอื่นๆเข้าเพิ่มเติม เช่น การเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุน โดยในแต่ละปีบริษัทมียอดการจำหน่ายตราสารหนี้ให้กับลูกค้ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ธุรกิจด้านวาณิชธนกิจนั้น ปัจจุบันบริษัทได้เข้าเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุนให้กับลูกค้าหลายราย เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียน (IPO) ไม่ต่ำกว่า 6 บริษัท ในปี 65-66 โดยมีมาร์เก็ตแคปรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี, ธุรกิจไบโอ-เทคโนโลยี, ธุรกิจเทรดดิ้ง, ธุรกิจบริการ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง
 
ในส่วนของการบริหารลงทุนเพื่อลูกค้านั้น ปัจจุบันบริษัทมีการให้บริการลูกค้า 2 รูปแบบคือ Portfolio Advisory (PA) และ Program Trading (PT) โดย PA จะถูกตั้งค่าขอบเขตการลงทุน และคำแนะนำโดยอิงจากข้อมูลฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัท ส่วน PT ของบริษัทจะใช้ Quantitative Model ซึ่งมีตั้งแต่การ Optimization ไปจนถึงการใช้ AI เป็นส่วนประกอบของโมเดล ซึ่งปัจจุบันบริษัทเงินทุนภายใต้การจัดการ (AUM) เกือบ 10,000 ล้านบาท
 
อย่างไรก็ตาม มองว่าในอนาคตโลกจะแคบลง ซึ่งการ Connect กับ Regional หรือ Global จะมีความสำคัญมากขึ้น Cross border จะมีให้เห็นมากขึ้น โดยการ Cross border อาจมาในรูปแบบ Traditional แบบเดิมผ่าน การทำ Dual listed, DR, Structure note ซึ่งมั่นใจว่าการที่บริษัทมี Network ของบริษัทในเครือหยวนต้าต่างประเทศ จะทำให้สามารถเชื่อมต่อ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับนักลงทุนของไทยมากขึ้น
 
ขณะที่การเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของ Digital Asset ตามเทคโนโลยี Blockchain อาทิ Digital Currency หรือ Digital Token นั้น บริษัทได้ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการสนับสนุนในโครงการ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDX) ซึ่งน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในอนาคตอันใกล้นี้ 
 
นายภาดล วรรณรัตน์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน และ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 ประเมินว่าตลาดจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/65 หลังจากที่ค่อนข้างชัดเจนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นในปลายเดือนก.ค.นี้ ในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อก็น่าจะทำจุดสูงสุดไปแล้ว จึงทำให้ภาพรวมการลงทุนตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นไปจะเริ่มเห็นการปรับตัวที่ดีขึ้น
 
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเป็น 70% ของพอร์ตลงทุน จากก่อนหน้านี้ที่ให้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเหลือเพียง 40% โดยนักลงทุนสามารถเริ่มทยอยสะสมหุ้นตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. ต่อเนื่องไปถึงช่วงปลายเดือนส.ค. ซึ่งหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุนได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มค้าปลีก รวมไปถึงหุ้นที่เคยเสียประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาได้แก่ หุ้นปูนใหญ่ และปูนกลาง โดยยังคงเป้าหมายดัชนีปี 65 ไว้ที่ระดับ 1,650 จุด และแนวรับที่ 1,550 จุด โดยกรณีเลวร้ายดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด แต่ประเมินว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก