Phones





DTAC ขอประชุมร่วม ผถห.TRUE พิจารณาขยายเวลาควบรวม

2022-08-29 11:09:10 172



นิวส์ คแนเน็คท์ - DTAC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังประชุมคณะกรรมการบริษัทนัดพิเศษ พิจารณาขยายเวลาการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วม ที่เกี่ยวข้องการควบบริษัท

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค แจ้งว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ได้ส่งจดหมายถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศทไย หรือ ตลท. หลังประชุมคณะกรรมการบริษัทนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 โดยได้ลงมติ อนุมัติการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นดีแทค และทรู ครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ตุลาคม 2565 เพื่อพิจารณาขยายเวลาการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นดีแทค และทรู เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัท

ทั้งนี้ ตามประกาศของ กสทช. ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการรวมธุรกิจ และแนวปฏิบัติในการพิจารณาการรวมธุรกิจที่ผ่านมา กสทช. พึงจะพิจารณารายงานการรวมธุรกิจดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่วันที่ยื่นรายงานการรวมธุรกิจ แต่เนื่องจาก กสทช. ยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาการรวมธุรกิจ จึงทำให้ ดีแทค และ ทรู อาจไม่สามารถจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมเพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัท ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2565 ของดีแทค และที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ของทรู มีมติอนุมัติการควบบริษัท

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือ ตามประกาศ ของ กสทช. เกี่ยวกับการรวมธุรกิจ และแนวปฏิบัติในการพิจารณาการรวมธุรกิจที่ผ่านมาของ กสทช. ซึ่งได้ยื่นรายงานนับแต่เดือนมกราคม บริษัทคาดว่ากระบวนการควบรวมทั้งหมดนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2565 ซึ่งการรวมธุรกิจครั้งนี้จะทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยมีการแข่งขันที่เท่าเทียมมากขึ้น และมีผู้ประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นในการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากกระบวนการพิจารณาที่ล่าช้าของ กสทช. อาจมีผลกระทบต่อความคืบหน้าของการก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยี-โทรคมนาคมใหม่ และความล่าช้าอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้ผู้บริโภค ธุรกิจ และเส้นทางดิจิทัลในประเทศไทย ต้องเสียโอกาสไปด้วย ทั้งนี้ ทั้งดีแทคและทรูยังคงตั้งเป้าที่จะควบรวมกิจการให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างประโยชน์และคุณค่าเพิ่มให้แก่ผู้บริโภคประชาชนชาวไทย ภาคธุรกิจ สังคมและประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน