Phones





SCCกำไร9เดือนทรุด27% รับสภาพทั้งปีหดตัว

2019-10-28 17:58:42 250




นิวส์ คอนเน็คท์ - SCC รับผลงานปีนี้หดตัว หลังโดนพิษสงครามการค้า บาทแข็งค่า ราคาสินค้าปรับตัวลดลง ขณะยอดขายทั้งปีคาดลดลง 8% ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์หดตัวเหลือ 1-2% ดันบริษัทลูก "SCGP" ขาย IPO ระดมทุนตลาดหุ้น


เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2562 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยภายในงานแถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/62 ที่สำนักงานใหญ่ SCG ว่า คาดว่าภาพรวมยอดขายทั้งปี 62 จะลดลงราว 8% เมื่อเทียบกับปี 61 ที่มียอดขายรวม 4.78 แสนล้านบาท เนื่องจากได้รับผลดระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ความผันผวนในตะวันออกกลาง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศมาเลเซีย อินเดีย และจีน ก็ผลิตสินค้าปิโตรเคมีออกมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวลดลง ประกอบกับได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า


ส่วนกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 4/62 ประสบกับปัญหาน้ำท่วม ทำให้การก่อสร้างชะลอตัว โครงการภาครัฐมีความล่าช้าในการก่อสร้างโดยคาดว่าภาพรวมทั้งปี 62 ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศไทยจะเติบโตเพียง 1-2% จากที่ตั้งเป้าไว้ 3-4% แต่ในปี 63 คาดว่าจะเห็นการเติบโตตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ส่วนสเปรดราคา HDPE-Naphtha ในช่วงไตรมาส 3/62 อยู่ในระดับประมาณ 457 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ส่วนในช่วงไตรมาส 4/62 ตามปกติจะปรับตัวลดลงตามฤดูกาล


สำหรับธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งมีศักยภาพที่โดดเด่นโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ทำให้เอสซีจีได้อนุมัติแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทเอสซีจี แพจเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ไม่เกิน 30% ของทุนชำระแล้วของ SCGP ภายหลังการเพิ่มทุน และนำ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสร่วมลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่อไปในอนาคต และเพื่อให้ SCGP สามารถระดมทุนมาใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจแพคเกจจิ้งทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินให้มีความพร้อมในการรองรับการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต โดยที่ SCC จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และมีอำนาจควบคุม SCGP ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 70% และ SCGP จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ SCC เช่นเดิม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้SCC ได้รับประโยชน์กลับมาจากผลการดำเนินงานของ SCGP ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าการเติบโตในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นด้วย


ขณะที่งบการเงินรวมของ SCC ในไตรมาส 3/62 มีรายได้จากการขาย 110,330 ล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4.78 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,204 ล้านบาท ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 12% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากผลประกอบการที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ เนื่องจากมีส่วนต่างราคาสินค้าปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินบาทที่แข็งค่า


สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2562 SCC มีรายได้จากการขาย 331,803 ล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 24,910 ล้านบาท ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ รายการสำคัญในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ประกอบด้วย ไตรมาสที่ 2/62 มีรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จำนวน 2,035 ล้านบาท ไตรมาสที่ 3/62 มีการกลับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี จำนวน 1,063 ล้านบาท และการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีจำนวน 762 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเซรามิกในต่างประเทศ ประกอบกับความกังวลจากสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ของทั้งบริษัทย่อยและบริษัทร่วม โดยสัดส่วนของรายได้ของ SCC มาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ 41% ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง 39% และธุรกิจแพคเกจจิ้ง 20%


ส่วนการลงทุนในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นั้น ในระยะสั้น 1 ปี ยังไม่มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ส่วนในระยะยาว จะเป็นการลงทุนสินค้าขั้นปลายที่ใกล้เคียงกับสินค้าของกลุ่มลูกค้า เช่น ธุรกิจเคมีภัณฑ์อาจจะเป็นสินค้าที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ และอาจจะมีการลงทุนด้านบริการใน EEC เพราะมีงานก่อสร้างมากขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ก็เป็นโอกาสที่จะสร้างมูลค่าในส่วนนี้ให้ดีขึ้น


#SCG
#ปูนซิเมนต์ไทย
#รุ่งโรจน์รังสิโยภาส
#สงครามการค้าพ่นพิษ
#ดันSCGPเข้าตลาดหุ้น