Phones





‘อินโนเวสท์ เอกซ์’ ชี้เป้า SET ปี 66 ที่ 1,750 จุด คัดหุ้นเด่นน่าลงทุน

2022-12-20 19:54:06 178



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมิน SET Index ปี 66 ที่อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,750 จุด โดยจุดเข้าซื้อสำคัญอยู่ที่ 1,500-1,600 จุด ซึ่งคาดว่าจะเห็นในไตรมาส 1/66 โดยคาดว่าประเทศของจีนจะเปิดประเทศในไตรมาส 2/66 ตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายนโยบายของจีน ซึ่งหุ้นที่ได้อานิสงค์ ได้แก่ AOT, BBL, BCP, CPALL และ MINT
 
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านของปี 66 เศรษฐกิจโลกจะมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1.การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การเติบโตของเศรษฐกิจระหว่างตลาดพัฒนาแล้ว (DM) กับตลาดเกิดใหม่ (EM) จะแตกต่างกัน โดย DM มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation อย่างรุนแรง หรืออย่างน้อยที่สุดจะเกิดภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆ ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจ EM จะชะลอตัวลง แต่มีโอกาสเกิดภาวะถดถอยรุนแรงน้อยกว่า 
 
2.อัตราเงินเฟ้อเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และเศรษฐกิจ EM หลายประเทศ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและมีแนวโน้มชะลอตัวลง ในปี 66 อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลงจากฐานสูงและอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดลงอันเนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และ 3.อัตราดอกเบี้ยนโยบายเชื่อว่าดอกเบี้ยสูงเกินไปเพื่อให้ครอบคลุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ในขณะที่ประเทศในฝั่งเอเชีย รวมถึงไทยจะยังปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ดังนั้นเราประเมิน SET Index ปี 66 ที่อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,750 จุด จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,600 จุด ซึ่งคาดว่าจะเห็นในไตรมาส 1/66
 
สำหรับการกลับมาเปิดประเทศของจีนคาดว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในไตรมาส 2/66 มองว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายนโยบายของจีน เนื่องจากการท่องเที่ยวจากจีนเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยและจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิ หากมองยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ในปี 66 กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหดตัวลงในปี 66 โดยมีสาเหตุมาจากวิกฤตพลังงานที่ดำเนินอยู่และนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายทั้งในปี 65 และ 66 แรงกดดันเงินเฟ้อในยูโรโซนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เคยคาด
 
ส่วนภาพเศรษฐกิจไทยในปี 66 เชื่อจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 65 โดยมีการชะลอตัวลงของการส่งออก การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ เป็นแรงกดดันหลักแต่อย่างไรก็ดีภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ และการบริโภคในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเร็วที่สุดในไตรมาสที่ 1 โดย GDP จะเติบโตประมาณ 4% และจะชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะเติบโตเกือบ 2% ในไตรมาสที่ 4 จากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ 1. เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งจะส่งผลทำให้การส่งออกปรับตัวลดลง 
 
2.ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ แต่แรงขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งการบริโภคและการลงทุนจะอ่อนแรง โดยมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการเบิกจ่ายที่ชะลอตัวของโครงการภาครัฐ และ 3.เชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต โดยที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 21-25 ล้านคน ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะใกล้ (short-haul) มากกว่าระยะไกล (long-haul) ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับประเทศน้อยกว่า
 
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในแรงกดดันสำหรับภาวะทางการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่องใน 1/66 ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่กำไรจะชะลอตัวลงและความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมกับการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น โดยจะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะทำจุดสูงสุด เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงถึงจุดต่ำสุดอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นภายในปลายไตรมาส 1/66 ถึงต้นไตรมาส 2/66
 
ดังนั้น จึงเล็งเห็นโอกาสในการเพิ่มสถานะโดยเฉพาะกับการเปิดประเทศของจีนและอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง แนะนำหุ้นที่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่ดี ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน กำไรมีแนวโน้มเติบโตและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างชัดเจน โดยหุ้นเด่นในไตรมาส 1/66 คือ AOT, BBL, BCP, CPALL และ MINT      
 
โดย AOT เป็นบริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนและการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐที่จะช่วยหนุนการเติบโตจากตลาดภายในประเทศ และแนวโน้มกำไรจะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นในปี 66, BBL เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 65 และได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 2% ในปี 66 รวมทั้งมองการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ที่จะส่งผลกับกระแสเงินไหลเข้า ซึ่งกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากประเด็นนี้
 
ส่วน BCP ยังมองว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน นอกจากนั้นบริษัทเป็นบริษัทที่มีลักษณะเชิงรับและมีเงินปันผลดีซึ่งสามารถช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ดี, CPALL มองการบริโภคในประเทศที่จะมีการเติบโตได้อย่างโดดเด่นและมีแนวโน้มที่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะช่วยให้ยอดขายฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์จากช่วงการเลือกตั้งในปี 66
 
ขณะที่ MINT เป็นบริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน ต้นทุนพลังงานในยุโรปเริ่มมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ธุรกิจอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวโดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ นอกจากนั้นการประเมินมูลค่าหุ้นของ MINT นั้นต่ำกว่ากลุ่มราว 15-20%