Phones





PTTGCลั่น5ปีเตรียมเงินลงทุน1.5-2แสนล.

2019-11-09 10:08:01 382




นิวส์ คอนเน็คท์ - PTTGC ลั่น 5 ปี เตรียมเงินลงทุน 1.5-2 แสนล้านบาท ปีหน้าใช้เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท พร้อมสรุปลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ ไตรมาส 2/63 ระยะยาววางเป้าปี 2573 มี EBITDA ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 30% พร้อมตอกเสาเข็มโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกหมุนเวียนคุณภาพสูงต้นปี 63 คาดใช้เงินลงทุน 2 พันล้านบาท


เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยภายในงานแถลงวิสัยทัศน์ ว่า ปี 2563 เตรียมงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ไม่รวมงบที่ใช้สำหรับลงทุนในโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ระหว่างการศึกษา และงบลงทุนสำหรับซื้อกิจการ (M&A)

โดยในปี 2563 นั้นส่วนใหญ่เป็นการลงทุนต่อเนื่องในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนใน Naphtha Cracker เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบที่บริษัทฯ มีอยู่แล้ว ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตันและ โพรพิลีน 250,000 ตัน อยู่ในระหว่างการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว ประมาณ 73% คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563


รวมถึงการลงทุนต่อเนื่องในโครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide : PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ (Polyols) 130,000 ตันต่อปี โดยทั้ง 2 โครงการเป็นต่อยอดผลิตภัณฑ์โพรพิลีนไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายทางสายโพลียูรีเทน (Polyurethane) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ High Value Business ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โครงการ PO คืบหน้าไปแล้ว 79% และโครงการโพลีออลส์ คืบหน้าไปแล้ว 77% คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563


นอกจากนี้ ยังเป็นการลงทุนในโครงการรพลาสติกรีไซเคิลร่วมมือกับพันธมิตร แอลพลา (ALPLA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับโลกจัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO Limited) ที่นิคมเอเชียมาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกหมุนเวียนคุณภาพสูง ชนิด rPET ขนาด 30,000 ตันต่อปี และ rHDPE ขนาด 15,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2563 และคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2564


สำหรับการซื้อกิจการนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาอยู่หลายโครงการ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยภาวะธุรกิจปิโตรเคมีเป็นช่วงขาลงเป็นโอกาสในการซื้อกิจการ ขณะที่โครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกานั้น คาดว่าจะสามารถประกาศการลงทุนขั้นสุดท้ายในไตรมาส 2/2563 ส่วนพันธมิตรการลงทุนยังคงเป็นรายเดิม Daelim Industrial Co.,Ltd. (DAELIM) จากเกาหลีใต้ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีความได้เปรียบในด้านความสามารถในการแข่งขันทางด้านวัตถุดิบ คือมีแหล่งวัตถุดิบ Ethane อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน PTTGC อยู่ในระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ของโครงการเช่น เงื่อนไขสัญญาการก่อสร้างโครงการ และการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนของบริษัทในระยะ 5 ปี (63-67) บริษัทเตรียมเงินลงทุนไว้ราว 1.5-2 แสนล้านบาท และคาดว่าจะมีกระแสเงินสด 30,000 ล้านบาทต่อปี มีส่วนทุน 3 แสนล้านบาท มีหนี้ 1 แสนล้านบาท ส่วนหนี้สินต่อทุน 0.3 เท่า ยังมีศักยภาพให้กู้เงินอีก 2 แสนล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงมีศักยภาพเพียงพอในการขยายการลงทุนในอนาคต


ส่วนผลประกอบการในปี 2563 คาดว่ารายได้จะเติบโตราว 15% เทียบกับปี 2562 เนื่องจากคาดว่ากำลังการผลิตรวมจะเพิ่มขึ้นราว 11% และคาดว่ามาร์จิ้นจะดีขึ้น 4% พร้อมกันนี้คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ธุรกิจโรงกลั่นคาดว่าจะมีค่าการกลั่น (GRM) จะอยู่ในระดับ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะในปี 2562 คาดว่า GRM จะอยู่ในระดับ 4.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการการลดการใช้น้ำมันเตากำมะถันสูงในธุรกิจเดินเรือตามนโยบายของ International Marine Organization (IMO) ขณะที่สเปรดราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์คาดว่าจะอยู่ในระดับ 180 เหรียญสหรัฐต่อตัน พร้อมกันนี้ในปี 2563 ยังได้รับปัจจัยโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และ โครงการโพลีออลส์ (Polyols) ที่จะเริ่มเดินเครื่องในปลายปี 2663


ส่วนโครงการไบโอพลาสติก PLA ที่บริษัทร่วมทุนในสหรัฐ คือบริษัทเนเจอร์เวิร์กกำลังผลิต 1.5 แสนตันต่อปี ขณะนี้ยอดขายล้นตลาด ดังนั้น จึงพยายามดึงเข้ามาลงทุนในไทย หากได้รับการตอบรับก็คาดว่าจะมีการลงทุนในกำลังผลิต 7.5 หมื่นตันต่อปี


นายคงกระพันยังกล่าวว่า ถึงการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ 3 คือ 1.Step Change: สานต่อสร้างบ้านปัจจุบันทั้งในมาบตาพุด และอาเซียนให้แข็งแรง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่ม Plant Reliability ให้อยู่ในระดับ 1st Quartile และ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจด้วยการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและ High Value Business โดยขณะนี้ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันอออกหรืออีอีซี ไปแล้ว 1 แสนล้านบาทและอีก 3 ปีข้างหน้าจะลงทุนในอีอีซีอีกไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นโครงการ่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บริหาร

2.Step Out: การหาฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Base) ซึ่งมีศักยภาพในการแข่งขันด้านวัตถุดิบหรือการเติบโตของตลาด อาทิ โครงการศึกษาการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ 1.5 ล้านตัน/ปี ที่มีศักยภาพความเป็นต่อด้านวัตถุดิบ (Feedstock) ต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ด้วย Mergers and Acquisitions (M&A) สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยโครงการลงทุนในสหรัฐจะประกาศตัดสินใจขั้นสุดท้ายใน กลางปี 63 และจะสร้างเสร็จใน 5 ปีถัดไป


3 Step Up: สานต่อแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่ง GC ได้ปฏิบัติอย่างโดดเด่น ด้วยความคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด และต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัทฯ


ทั้งนี้ภายใต้การขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ 3 กลยุทธ์นั้น PTTGC ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2573 จะมี EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย) จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีนี้อยู่ที่ 7% รายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น 60% และในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 30% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความหลากหลายและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี