Phones





WHAUP กำไรปี 65 ทรุด 38% รับพิษอัตราแลกเปลี่ยน

2023-02-23 22:25:35 153



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – WHAUP โชว์งบการเงินปี 65 มีกำไรสุทธิ 454 ล้านบาท ลดลง 38% จากปีก่อน หลังส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า SPP และ IPP ลดลง รวมถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ด้านผู้บริหารสั่งเร่งเครื่องศึกษาแผนลงทุนในประเทศ และต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้รวมระยะ 5 ปี อยู่ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมอัดงบลงทุน 18,500 ล้านบาท
 
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินของบริษัทในปี 2565 บริษัทมีการรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติจำนวน 2,790 ล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อน และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 448 ล้านบาท ลดลง 48% จากปีก่อน โดยรายได้รวมจากธุรกิจจำหน่ายน้ำและไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน แต่บริษัทได้รับผลกระทบทางลบจากต้นทุนพลังงานทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า SPP และ IPP ลดลง ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 454 ล้านบาท ลดลง 38% จากปีก่อน ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานธุรกิจสาธารณูปโภค ในปี 2565 บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ 145 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2564 โดยภาพรวมปริมาณจำหน่ายและบริหารน้ำในประเทศมีการเติบโต 4% เนื่องจากความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) ไม่ว่าจะเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ก็ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ การให้บริการน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงให้กับโรงไฟฟ้า Gulf TS 3&4 และการให้บริการน้ำปราศจากแร่ธาตุให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (มาบตาพุด) ซึ่งโครงการทั้งสองได้เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปในปีที่ผ่านมา
 
สำหรับธุรกิจน้ำในเวียดนาม ปี 2565 บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศของเวียดนาม ซึ่งเป็นสัญญาณบวกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมทั้งบริษัทฯ ได้มีการขยายฐานลูกค้า และพื้นที่ในการให้บริการน้ำประปาที่ครอบคลุมมากขึ้น
 
ในส่วนของธุรกิจพลังงาน บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าในปี 2565 จำนวน 486 ล้านบาท ลดลง 49% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงและโรงไฟฟ้าถ่านหิน GHECO-One อันเนื่องมาจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาได้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวโดยเฉพาะในธุรกิจ SPP อันเนื่องมาจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่เริ่มลดลงในขณะที่รับรู้การปรับขึ้นค่า Ft เป็น 0.9343 บาทต่อหน่วย เต็มไตรมาส ซึ่งส่งผลบวกต่อ margin จากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ SPP ในปี 2566 จากการรับรู้การปรับขึ้นของค่า Ft เป็น 1.549 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนม.ค. 2566 ที่ผ่านมา
 
ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2565 บริษัทมีการเติบโตอย่างโดดเด่น สามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มเติมอีก 37 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินเชิงพาณิชย์แล้วรวม 94 เมกะวัตต์ ทำให้รับรู้รายได้ในปี 2565 เท่ากับ 207 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน ขณะที่ปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเซ็นต์สัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มจำนวน 31 สัญญา โดยแบ่งเป็นโครงการ Private PPA จำนวน 26 สัญญา คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 41 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงสัญญากับบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7.7 เมกะวัตต์ และโครงการ EPC service จำนวน 5 สัญญา มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 9 เมกะวัตต์ ทำให้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีจำนวนสัญญาโครงการ Private PPA จากพลังงานแสงอาทิตย์สะสมจำนวน 133 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) รวมทั้งหมดจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 683 เมกะวัตต์
 
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้จ่ายปันรวมสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ที่ 0.16 บาทต่อหุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วจำนวน 0.06 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.10 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เม.ย. 2566 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 17 พ.ค. 2566 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงิน และการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสม่ำเสมอของธุรกิจ
 
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทจะเดินเกมรุกผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน โดยมุ่งเน้นต่อยอดธุรกิจทั้งภายใน และภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศและประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2566 - 2570) ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ไว้ที่ 18,500 ล้านบาท
 
โดยในปี 2566 บริษัทพร้อมเปิดโอกาสด้านการลงทุนใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะอุตสาหกรรม และพลังงานประเภทอื่น ๆ โดยตั้งเป้ายอดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสะสมเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ โดยบริษัทได้เข้าร่วมเสนอชื่อเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งเปิดรับซื้อโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิคจำนวน 5 โครงการ คาดว่าจะทราบผลการตัดสินรอบสุดท้ายภายในเดือนมี.ค.นี้