Phones





GLคอนเฟิร์มถึงเวลารุกธุรกิจเต็มสูบ

2019-11-15 17:30:16 338




นิวส์ คอนเน็คท์ – GL ยืนยันธุรกิจยังเดินหน้าแข็งแกร่ง แม้ผลประกอบการไตรมาส 3/62 หดตัวจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน หลังแบกค่าใช้จ่ายการฟ้องร้องคดี พร้อมวางเป้าพอร์ตสินเชื่อคงค้างปี 63 กลับมาเติบโต 10-20% เตรียมกลับมารุกสินเชื่อกัมพูชาและเมียนมาร์เต็มสูบอีกครั้ง แย้มรอบุ๊กกำไรพิเศษในปี 63 มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท


เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 62 นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL เปิดเผยว่า ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 3/62 ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งรายได้รวมและกำไรสุทธิปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนนั้น ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผลมาจากธุรกิจของบริษัทมีการชะลอตัว แต่เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางกฎหมายในประเทศไทยและสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งบริษัทยังเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าชั้นดีเป็นหลัก ส่งผลให้สินเชื่อมีการชะลอตัว


ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 3/62 บรัทมีรายได้รวม612 ล้านบาท ลดลง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดี่ยวกันกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 730 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.51 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 102.40 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 62 อยู่ที่ 113.26 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 328.85 ล้านบาท


“หลังจากเราแจ้งงบการเงินไตรมาส 3/62 ออกไปแล้ว มีคนบอกว่าธุรกิจเรากลับมาชะลอตัว ซึ่งยืนยันว่าไม่จริง ธุรกิจของ GL ยังเดินหน้าได้ดี แต่กำไรที่ลดลงเป็นผลมาจากที่เรามีค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องคดีเป็นจำนวนมาก และเรามีการปรับลดขนาดธุรกิจลงมาเพื่อตั้งรับการเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเราไม่มีค่าใช้จ่ายพวกนี้กำไรปกติของเราก็ยังอยู่ในระดับกว่า 90 ล้านบาท และถ้าดูแค่กำไรสุทธิก้ถือว่าดีกว่าไตรมาส 2/62 ด้วย” นายทัตซยะ กล่าว


สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/62 บริษัทยังคาดหวังว่าจะเห็นการเติบโตมากขึ้นของทั้งตัวเลขสินเชื่อ และผลประกอบการ แม้ในไตรมาสนี้จะยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้านกฎหมาย แต่คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งบริษัทจะเริ่มกลับมาขยายสินเชื่อในเชิงรุกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการดำเนินการทั้งในเรื่องคดีความ และการชำระหนี้คืนให้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้จำนวน 1,500 ล้านบาทถือว่าเป็นไปตามแผน และยังเหลือเงินสดอยู่กว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการขยายสินเชื่อได้เป็นจำนวนมาก


ทั้งนี้ เบื้องต้นบริษัทคาดว่าพอร์ตสินเชื่อคงค้างในปี 63 จะกลับมาเติบโตในระดับ 10-20% จากปี 62 ที่พอร์ตสินเชื่อคงค้างลดลงมาอยู่ที่ราว 6,500 ล้านบาท จากปี 61 ที่พอร์ตสินเชื่อยู่ในระดับ 7,600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าธุรกิจเชิงรุกทั้งในประเทศเมียนมาร์และกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อของทั้งสองตลาดกลับมาอยู่ในระดับที่ดี รวมทั้งจะยังให้ความสำคัญกับการขยายสินเชื่อในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อสูงถึง 68% ของพอร์ตสินเชื่อคงค้าง


นอกจากนี้ ในปี 63 บริษัทยังมีโอกาสที่จะบันทึกกำไรพิเศษมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการการขายทอดตลาดที่ดินในประเทศบราซิลคิดเป็นมูลค่าราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ทางกลุ่มสิงคโปร์-ไซปรัสนำมาวางเป็นหลักประกันเงินกู้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมขายทอดตลาดด้วยวิธีเปิดประมูล รวมทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการบันทึกเงินจากการขายพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหลักประกันสินเชื่อจากทางกลุ่มไซปรัสเช่นกัน