Phones





BAY อัพเดทโอกาสธุรกิจปี 66 ชี้ 8 เมกะเทรนด์เปลี่ยนโลก แนะเสริมการลงทุนใน EEC

2023-05-03 18:05:44 84



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – BAY จัดงานสัมมนา Krungsri Business Exclusive Talk : 2023 Thailand Vision สำหรับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ส่องแนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยในปี 66 เปิดมุมมองทิศทางและแผนการลงทุนใน EEC รวมทั้งแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ
 
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานของธนาคารในการขับเคลื่อนการเติบโตของพันธมิตรธุรกิจในปีนี้ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบัน ครอบคลุมปี 2564 – 2566 ซึ่งปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจฉบับนี้ โดยธนาคารเน้นให้ความสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ผ่านกลยุทธ์สามด้าน ได้แก่ การดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-Linked Business) การดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนตามโมเดล ESG (ESG-Linked Business) และการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital & Innovation)
 
นอกจากนี้ ด้วยเป้าหมายในการเป็น Trusted Partner หรือ ธนาคารพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ กรุงศรีได้ประสานความร่วมมือกับเครือข่าย MUFG และทำงานร่วมกับธนาคารพันธมิตรในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางการเงิน พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า เพื่อช่วยส่งเสริมและขับเคลื่อนให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนไปพร้อมกัน
 
ด้าน ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ ผู้บริหารฝ่ายวิจัยธุรกิจและอุตสาหกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ประกอบไปด้วย 1.Deglobalization – หลายประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะ Regionalization นั่นคือการเชื่อมโยงกันเองในภูมิภาค สินค้าอุตสาหกรรมหลายประเภทหันมาพึ่งพาวัตถุดิบภายในภูมิภาคมากขึ้น, 2.Shifting Economic Power and Polarization เริ่มมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดียเริ่มมีความสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ขณะเดียวกันโลกต้องเผชิญกับความตึงเครียดในเชิงภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้นและเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าติดตาม โดยทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงฐานการผลิต
 
3.Demographic Change การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทั่วโลก, 4.Urbanization การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เขตเมือง รวมถึงไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิตเป็นแบบสังคมเมืองมากขึ้น, 5.Individualism คนจะมองหาความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ต้องการสินค้าที่ทำมาเพื่อตัวเองโดยเฉพาะมากขึ้น 6.Health and Wellness คนให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น, 7.Environment เรื่องของสิ่งแวดล้อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและในระดับประเทศ และ 8.Technology เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ จะเข้ามา Disrupt ธุรกิจและชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยทั้งหมดนี้นับเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับกระแสหรือโอกาสที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจไปพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
 
“จากกระแสของ Global Megatrends ดังกล่าวเป็นแรงผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) ที่มีอัตราการเติบโตสูง และมีความสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจไทยในอนาคต ได้แก่ 1.Intelligent Electronics อุตสาหกรรมที่มีการใช้ชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI Chip) ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในยานยนต์ อุปกรณ์โทรคมนาคม หรือที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้, 2.Next – Generation Automotive อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ยานยนต์แบบไร้คนขับ รวมไปถึงระบบนิเวศการคมนาคมขนส่ง, 3.Biofuels and Biochemicals อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ, 4.Food for the Future อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร การเพิ่มมาตรฐานการตรวจสอบย้อนกลับด้านความปลอดภัยอาหาร การวิจัยและผลิตโภชนาเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่ใช้โปรตีนทางเลือก และ 5.Medical and Comprehensive Healthcare อุตสาหกรรมการแพทย์แบบครบวงจร รวมไปถึงการรักษาโรคทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน” ดร.พิมพ์นารา กล่าว
 
ด้าน ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า การลงทุนในโครงการ EEC ระยะแรก รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 1.7 ล้านล้านบาท เน้นการพัฒนาในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น โดยได้ผลักดันให้เกิดการร่วมทุนสำเร็จครบทั้ง 4 โครงการแล้ว ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 โดยปัจจุบันทั้ง 4 โครงการกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568-2569
 
โดยหลังจากนี้จะเริ่มดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนแผนลงทุนระยะที่ 2 ภายใต้ EEC Vision 2570 โดยกำหนดเป้าหมายการลงทุนเป็นจำนวน 2.2 ล้านล้านบาท เน้นที่การดึงดูด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ใน 5 แกนธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่องยานยนต์สมัยใหม่หรือ EV และเทคโนโลยี Smart Mobility อุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นกลไกหลักที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ
 
ทั้งนี้ EEC ได้ประกาศเขตส่งเสริมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวครอบคลุม 7 เขตพัฒนาพิเศษ ได้แก่ เขตส่งเสริมรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (EECh) เขตส่งเสริมการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน (EECg) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) เขตส่งเสริมศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ พัทยา (EECmd) เขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) และเขตส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง (EECtp) โดยนักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทาง ภาษีและสิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ รวมถึง การอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจอีกด้วย