Phones





STARK วอนตลท.ขยายเวลาขึ้น SP ออกไปถึง 19 ก.ค.

2023-07-01 18:55:44 80



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - STARK ผู้ถือหุ้นรายย่อยเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขวิกฤต หลังผู้บริหารประกาศจะใช้เวลาตัดสินใจถึงวันที่ 19 ก.ค. พร้อมวอน ตลท.ขยายเวลาขึ้น SP ออกไปถึง 19 ก.ค. เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยได้มีเวลาและมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจ
 
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า กรณีที่นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ รักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เสนอ 4 แนวทางในการแก้ไขวิกฤตของ STARK โดยจะใช้เวลาถึงวันที่ 19 กรกฎาคมนั้นเปรียบเสมือนเป็นการมัดมือมัดเท้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญคือผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทมากกว่า 11,000 ราย เหมือนกำลังอยู่หลักประหาร เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ซื้อขายวันที่ 30 มิ.ย. เป็นวันสุดท้าย โดยที่มีข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจสำคัญ และกระทบต่อการได้เสียมหาศาล
 
โดยหากคณะผู้บริหาร STARK เลือกแนวทางข้อ 3 คือ เพิ่มทุนจดทะเบียน ทัังจากผู้ถือหุ้นเดิม หรือผู้ลงทุนใหม่ ก็สมควรต้องประกาศให้ชัดเจน เช่น หากเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม กลุ่มนายวนรัชต์จะคงรักษาสัดส่วนเดิมหรือไม่ หรือหากขายรายใหม่ก็ต้องประกาศชัดเจนว่าเป็นใคร เช่น กลุ่ม TOA หรือพันธมิตร และได้เพิ่มทุนจนทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นกลับมาบวก มีเงินมาหมุนเวียนกิจการหรือไม่
 
“หากคำตอบชัดเจน ผู้ถือหุ้นรายย่อย 11,000 ราย ก็อาจมีทางเลือกทนถือหุ้นเอาไว้ เพื่อให้กิจการฟื้นตัวกลับมา หุ้นในมือก็อาจจะกลับมามีมูลค่า แต่หากไม่มีคำตอบวันนี้ ต้องไปรอวันที่ 19 กรกฎาคม ไม่มีความชัดเจนใดๆ แล้วแนวทางเพิ่มทุนล้มเหลว ต้องไปสู่แนวทางต่อไปคือยื่นล้มละลาย หากผู้ถือหุ้นรายย่อยถือไว้ก็เสี่ยงกลายเป็นศูนย์ ผมจึงขอเสนอให้ผู้บริหาร STARK ประกาศให้ชัดเจนในวันนี้ หรือไม่ทางตลท. ก็สมควรต้องยืดหยุ่นเวลากำหนดการซื้อขายก่อนจะแขวนป้าย SP ยาวออกไป อย่างน้อยถึงวันที่ 19 กรกฎาคม หรือทราบแนวทางเลือกที่ชัดเจนของผู้บริหาร STARK เนื่องจากในเวลานี้มีข้อมูลไม่เพียงพอ มีผลกระทบต่อการได้เสียมหาศาล กล่าวคือหากแนวทางเพิ่มทุนสำเร็จก็อาจมีโอกาสที่หุ้นจะกลับมาทีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่หากล้มเหลว และเลือกหนทางล้มละลายก็อาจเสี่ยงกลายเป็นศูนย์”ดร ณัฐวุฒิ กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีข่าวลือว่า ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องอาจจะพิจารณาแนวทางเลือกที่ 1 ,2 และ 4 เป็นหลัก กล่าวคือเจรจาแฮร์คัตลดยอดหนี้ให้เหลือต่ำที่สุด อาจชำระเพียงไม่เกิน 500 ล้านบาท จากนั้นอาจจะแยกส่วนโรงงาน หรือธุรกิจที่มีคุณภาพดีเช่น โรงงานผลิตสายไฟฟ้าเฟลส์ดอดจ์ ที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ขายออกไปในราคาเพียง 500 ล้านบาท แล้วก็มาตั้งนอมินีมารับซื้อไว้เองในราคาต่ำมาก หรือเหมือนกับได้ฟรี โดยอ้างว่าขายเพื่ิอเร่งชำระหนี้ จากนั้นก็ยื่น STARK ที่เหลือแต่โครงเข้าโหมดล้มละลาย ความเสียหายนับแสนล้าน ตกเป็นของผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้สถาบันการเงิน