Phones





PHG ปลื้มนักลงทุนจองซื้อ IPO เกลี้ยง

2023-07-03 17:30:18 82



นิวส์ คอนเน็คท์ - PHG ปลื้ม นักลงทุนตอบรับดี จองซื้อ IPO หมดเกลี้ยง 54 ล้านหุ้น สะท้อนพื้นฐานแข็งแกร่ง โอกาสเติบโตต่อเนื่อง ด้านราคาจองซื้อ 21 บาท เหมาะสม เดินหน้าลงสนามเทรด SET วันแรก 6 ก.ค. นี้

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั่วประเทศที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้น IPO ของ PHG หมดทั้งจำนวนที่เสนอขาย 54 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาเสนอขายที่หุ้นละ 21 บาท ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง และโอกาสในการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าซื้อขายวันแรก (First Day Trade) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ซึ่งบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ PHG ประกอบธุรกิจหลักคือให้บริการทางการแพทย์ภายใต้ กลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิต ซึ่งประกอบไปด้วย โรงพยาบาลจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลแพทย์รังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 และโรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต มีจำนวนเตียงจดทะเบียนรวมทั้งหมด 270 เตียง PHG มีประสบการณ์ในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนกว่า 36 ปี พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางกว่า 20 สาขา และให้บริการศูนย์หัวใจ 24 ชั่วโมง ที่มีศักยภาพในการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด หรือ Open Heart Surgery ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งเดียวใน สปสช. เขต 4 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านการทำหัตถการรักษาหลอดเลือดโคโรนารีผ่านสายสวน ระดับ 1 และที่สำคัญกลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิตยังมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะทางแม่และเด็ก โดยโรงพยาบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและต่อยอดศักยภาพทางการแพทย์ด้านโรคเฉพาะทางผู้สูงอายุและ โรคผู้หญิง หรือโรคทางนรีเวชกรรม อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของการรักษาแบบตติยภูมิ

สำหรับวัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการช่วงปี 2566-2569 ได้แก่ 1.เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถภายในปี 2567 2.เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 1 ภายในปี 2567 3.เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2 ภายในปี 2569 4.เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในปี 2567 5.เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินบางส่วนภายในปี 2566 และ 6.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 2566

นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 54,000,000 หุ้น กำหนดราคาเสนอขายที่ 21 บาท มูลค่าที่ตราไว้ หรือพาร์หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นร้อยละไม่เกิน 18.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อจะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจบริการ (SERVICE) / การแพทย์ (HELTH)

โดยโครงสร้างรายได้ของ PHG มีความแข็งแกร่งมาจากกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ 51.17% ซึ่งประกอบไปด้วยลูกค้าเงินสด ลูกค้าที่ใช้สิทธิประกัน และลูกค้าคู่สัญญาและรายได้จากกลุ่มลูกค้าภายใต้สวัสดิการภาครัฐที่ 48.17% โดยหลักๆ ประกอบไปด้วยลูกค้าในโครงการประกันสังคม ถือว่ามีโครงสร้างรายได้ที่มีความมั่นคง และถ่วงดุลที่ดีจากทั้งสองกลุ่มลูกค้า ซึ่งภายหลังจากการเสนอขาย IPO แล้วนั้น PHG จะสามารถเพิ่มศักยภาพ และสร้างโอกาสในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

ในขณะที่ผลประกอบการสำหรับงวดปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 - 2565 และสำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 104.64 ล้านบาท 317.48 ล้านบาท 293.10 ล้านบาท และ 44.55 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.73%, 15.99%, 14.27% และ 9.11% ตามลำดับ

นางสาวพิมพ์พิชญธ์ ปรีชานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วมของ PHG เปิดเผยว่ากำไรสุทธิของ PHG ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุดเท่ากับ 238.24 ล้านบาท สำหรับการกำหนดราคาหุ้นที่จะเสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO ของ PHG ในราคาหุ้นละ 21 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ Price to Earnings Ratio : P/E ที่จำนวนหุ้นก่อน IPO 246 ล้านหุ้น เท่ากับ 21.65 เท่า และที่จำนวนหุ้นหลัง IPO 300 ล้านหุ้น เท่ากับ 26.58 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับกลุ่มอุตสาหกรรม มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเมื่อรวมกับประมาณการการเติบโตจากแผนการขยายธุรกิจในอนาคต