Phones





SAFE เปิดเทรดวันแรก 'ต่ำจอง' โบรกฯ เคาะเป้าสูงสุด 25 บ./หุ้น

2023-11-02 17:18:18 84



นิวส์ คอนเน็คท์ - SAFE เทรดวันแรกไม่ผ่านด่าน IPO ขาลง เปิดเทรดต่ำกว่าราคาจอง 23% ลุยวางยุทธศาสตร์ต่อยอดจุดแข็งให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก มุ่งสู่ผู้นำด้านรักษาผู้มีบุตรยาก ด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในภูมิภาคเอเชีย โชว์ฟอร์มครึ่งปีแรกกำไรสุทธิกว่า 87 ล้านบาท ขณะที่ 4 โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ เคาะเป้าสูงสุด 25 บาทต่อหุ้น 

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE เข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET โดยราคาเปิดซื้อขายที่ 16 บาท ลดล' 5 บาท หรือราว 23% จากราคา IPO ที่หุ้นละ 21 บาท

นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAFE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้น SAFE เข้าซื้อขายใน SET นับเป็นก้าวสำคัญของ SAFE เพื่อรองรับแผนการขยายการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากและห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์ของกลุ่มบริษัทฯ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เติมเต็มความฝันของผู้มีบุตรยากให้มีโอกาสได้มีบุตรตามความประสงค์ พร้อมร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของผู้มีบุตรยากจากทั่วโลก (Fertility Tourism) สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้วางยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ผู้นำด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในระดับเอเชีย ผ่านการขยายศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรและห้องปฏิบัติการเจริญพันธุ์ ไปยังโรงพยาบาลพันธมิตรที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ หรือในสถานพยาบาลคู่ค้า ที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ทั้งในรูปแบบพันธมิตรทางการค้า การร่วมลงทุน การเข้าซื้อกิจการ รวมทั้งใช้เทคโนโลยีในการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ พัฒนาบุคลากรในการให้บริการอยู่เสมอ เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้นำ รวมถึงการสื่อสารและสร้างแบรนด์ “SAFE FERTILITY” ในฐานะผู้นำทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากและด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนในเอเชียในเชิงรุกมากขึ้น เช่น ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ไปยังผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ การทำตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายการเติบโตไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง  

กลุ่มบริษัทฯ วางแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ในเบื้องต้นจะย้ายสาขารามอินทราไปยังพื้นที่ในโครงการสนามไดร์ฟกอล์ฟ กอล์ฟ ชาแนล เซ็นเตอร์ ถนนรามอินทรา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้มาใช้บริการ รวมถึงให้บริการแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่น มีห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ของกลุ่มที่ทันสมัยและกว้างขวาง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณาโอกาสร่วมลงทุนกับห้องปฏิบัติการในพื้นที่โรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐบาล ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

ขณะที่ผลดำเนินงานปี 2563-2565 มีรายได้รวม 529.77 ล้านบาท 561.96 ล้านบาท 729.32 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 42.16 ล้านบาท 78.23 ล้านบาท 161.73 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวม 409.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 87.4 ล้านบาท ลดลง 3.89% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิที่ลดลงเล็กน้อยเป็นผลมาจากมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเพื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ SAFE ที่ 25 บาทต่อหุ้น อ้างอิงด้วยวิธีเปรียบเทียบ PE กับค่าเฉลี่ย PE 27 เท่า ของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลและคู่แข่ง โดย SAFE ประมาณการกําไรต่อหุ้นปี 2567 ที่ 0.92 บาทและยังได้คาดการณ์รายได้รวมของ SAFE ในปี 2566-2568 จะเติบโตเฉลี่ย 26.5% ต่อปี 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2024 ของ SAFE ที่ 7,134 - 7,309 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคา 23.47-24.05 บาทต่อหุ้น ผ่านการประเมินมูลค่ากิจการด้วยวิธีอิงเป้าหมาย PEG และการคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ได้แก่ 1. ประมาณการการเติบโตของ EPS เฉลี่ย 21.4% ต่อปี CAGR และอิงเป้าหมาย PEG ที่ 1.2 เท่า ซึ่งเกิดจากการให้ Premium 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มผู้เล่นเกี่ยวเนื่องกับศูนย์การแพทย์ผู้มีบุตรยากที่ 1 เท่า เพราะมองว่า SAFE เป็นผู้นำในศูนย์การแพทย์เพื่อรักษาผู้มีบุตรยากที่ครบวงจร มีลูกค้าระดับไฮเอนด์ และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคู่แข่ง และ 2. การประเมินมูลค่าแบบ DCF บนสมมติฐาน WACC 8.3% และ Terminal growth 2% ซึ่งมูลค่าพื้นฐานคิดเป็น PER ปี 2566 ที่ 25.6-26.3 เท่า ตามลำดับ

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น SAFE สำหรับปี 2567 ไว้ที่ 23.80 บาท อ้างอิง PE 27 เท่าและเทียบเท่า PEG 0.95 เท่า ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ SAFE ที่ 23.7 บาทต่อหุ้น โดยอ้างอิงจากการวิธีคิดลดกระแสเงินสด ณ สิ้นปี 2024 โดยใช้อัตราคิดลด 8% และอัตราเติบโตระยะยาว 1%