นิวส์ คอนเน็คท์ - GULF เติบโตแข็งแกร่ง! Core Profit ไตรมาส 3/66 เท่ากับ 4,203 ล้านบาท โตขึ้น 94% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ทั้งในและต่างประเทศ และกำไรจาก PTTNGD และ INTUCH ที่รับทรัพย์เต็มมือ

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดยนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 30,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จาก 24,275 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับไตรมาส 3/66 เท่ากับ 4,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% จาก 2,167 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันปีก่อน

การเติบโตดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจาก ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม IPD ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยที่ 1 กำลังการผลิตติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา ประกอบกับโรงไฟฟ้า SPP 12 โครงการ ภายใต้กลุ่ม GMP และโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการ ภายใต้กลุ่ม GJP มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาค่าก๊าซเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง โดยราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 579.13 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/65 เป็น 363.24 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.48 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/65 เป็น 0.68 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/66 

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า IPP ได้แก่ โรงไฟฟ้า GNS, GUT และ GSRC มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เพิ่มขึ้น โดยโรงไฟฟ้า GNS และ GUT ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม GJP มี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 8% ในไตรมาส 3/65 เป็น 21% ในไตรมาส 3/66 ขณะที่โรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม IPD มี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 21% ในไตรมาส 3/65 เป็น 79% ในไตรมาส 3/66 

อีกทั้ง กลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศ ยังมีผลประกอบการที่ดีขึ้น เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมาน ได้มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นจาก 52 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 3/65 เป็น 326 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ต้นปี 66 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ GULF สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 174 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 306% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่สหรัฐอเมริกา จำนวน 150 ล้านบาทในไตรมาส 3/66 โดย GULF ได้เข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวตั้งแต่เดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมา

ในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ในไตรมาส 3/66 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation จำนวน 235 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 205% เทียบไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/65 เป็น 5.5 เมตร/วินาที ในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจาก GULF ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้จาก 50.00% เหลือ 24.99% โดยจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้กับ Keppel Group ในเดือน ธ.ค. 65

นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/66 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก PTTNGD จำนวน 259 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากขาดทุน 221 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 โดยมีสาเหตุมาจากอัตรากำไรขั้นต้นต่อหน่วยที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้น และค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงในไตรมาสนี้ ซึ่งรายได้ของโครงการดังกล่าวจะผูกกับราคาน้ำมันเตา ขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาค่าก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว (Thai Tank Terminal) จำนวน 65 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ โดย GULF ได้เข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวเมื่อเดือน ธ.ค. 65 ในส่วนของการลงทุนใน INTUCH นั้น บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 1,527 ล้านบาท ในไตรมาส 3/66 หรือเพิ่มขึ้น 37% เทียบไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ AIS และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดในสัดส่วน 33.33% ในบริษัท แรบบิท-ไลน์เพย์ จำกัด

ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/66 เท่ากับ 9,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับ 6,660 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 และกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/66 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 3,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209% จาก 1,087 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จาก 35.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/66 เป็น 36.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3/66 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด และผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 GULF มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 476,710 ล้านบาท หนี้สินรวมเท่ากับ 332,454 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 144,256 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 1.70 เท่า ลดลงจาก 1.76 เท่า ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 ซึ่งการลดลงดังกล่าวมาจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น

นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/66 คาดว่ายังคงเติบโตตามเป้า แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าในรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค. 66 ลงมาอยู่ที่ 3.99 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดย ณ อัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าว กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ของ GULF ยังสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าในปี 65 เนื่องจากราคาก๊าซเฉลี่ยทั้งปีในปี 66 ต่ำกว่าปี 65 และค่า Ft เฉลี่ยปี 66 ที่สูงกว่าในปี 65 อีกทั้ง สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 8% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด GULF จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว 

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 66 โครงการต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 662.5 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 66 ขณะที่โครงการ Solar Rooftop ภายใต้ GULF1 มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ให้ครบ 150 - 180 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ ประกอบกับ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ได้ก้าวเข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาส 4 นอกจากนี้ แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้โครงการ Jackson Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา มีผลกำไรที่ดีขึ้น สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยภายใต้ Gulf Binance นั้น มีกำหนดเปิดให้บริการภายในเดือน พ.ย. 66 ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะผลักดันให้กำไรของกลุ่ม GULF ในปี 66 เป็นไปตามเป้าหมาย