Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
GUNKULลุยขยายพลังงานทดแทน หนุนรายได้โตเกิน 15% - WHAUPลงนามสัญญา PPA ลุย Aisin Powertrain
MAI
AIRA สยายปีกธุรกิจ รุกการเงิน Non-Bank - อสังหาฯชั้นนำ
IPO
CFARM เตรียมขาย IPO 149 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้า mai
บล./บลจ
SCB CIO แนะเลือกลงทุนตลาดหุ้นพื้นฐานดีช่วงปรับฐาน
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
กรุงศรี ส่องกรอบเงินบาท 36.50-37.00 บ. หลังจ้างงานสหรัฐฯลดความร้อนแรง
การค้า - พาณิชย์
TikTok ผนึก SME D Bank เสริมทักษะดิจิทัล – แหล่งเงินทุนแก่เอสเอ็มอี
พลังงาน - อุตสาหกรรม
TGE ดันผลงานปี 67 โต 10% พร้อมลุยประมูลงานใหม่อีก 30 MW
คมนาคม - โลจิสติกส์
SJWD เซ็นสัญญารับงาน ‘กลุ่มแอสเซทไวส์’
แบงก์ - นอนแบงก์
LH Bank ผนึกพันธมิตร กระตุ้นยอดใช้งานแอปฯ ‘LHB You’
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
อบาคัส ดิจิทัล จับมือ บิ๊กซี ส่ง “มันนี่ทันเดอร์” รุกสินเชื่อออนไลน์
SMEs - Startup
“กรุงศรี ฟินโนเวต” เข้าลงทุนใน “Doppio Tech” หนุนสร้างบุคลากรสายเทค
ประกันภัย - ประกันชีวิต
อลิอันซ์ อยุธยา “Family Day 2024” พาลูกค้าท่องโลกใต้ทะเล SEA LIFE Bangkok
รถยนต์
GPI โชว์ยอดจองรถงาน “มอเตอร์โชว์” 58,611 คัน
ท่องเที่ยว
ttb analytics ประเมินเงินสะพัดกว่า 4.2 หมื่นล.ในช่วงสงกรานต์ปี 67
อสังหาริมทรัพย์
ORN ยื่นไฟลิ่ง ออกหุ้นกู้ครั้งที่ 1/67 ดอกเบี้ย 7.00-7.25%
การตลาด
COTTO ส่งนวัตกรรม ‘QUINTA Basin’ คว้า 4 รางวัลในไทยและระดับโลก
CSR
“กรุงศรี ฟินโนเวต” เข้าลงทุนใน “Doppio Tech” หนุนสร้างบุคลากรสายเทค
Information
ออมสิน ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
Gossip
PROEN สุดยอด! ขึ้นแท่นผู้เชี่ยวชาญให้บริการ SD-WAN
Entertainment
โครงการพระเมตตาสมเด็จย่าร่วมกับ SCB เชิดชูเกียรติครูดีเด่น
สกุ๊ป พิเศษ
NER เดินหน้าโตแกร่ง ควบคู่เน้น ESG
SCB CIO แนะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง และกลุ่ม Quality Growth
2023-12-01 18:13:53
97
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB CIO มองแนวโน้มเศรษฐกิจปี 67 สหรัฐ-ญี่ปุ่น ควงแขนชะลอตัวแบบจัดการได้ ส่วนจีน-เวียดนาม อาจชะลอตัวค่อนข้างมากจากแรงถ่วงภาคส่งออกและอสังหาฯ คาดการลดดอกเบี้ยเกิดครึ่งหลังของปี 67 แนะทยอยสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง พร้อมทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย กลุ่ม Quality Growth ที่กำไรเติบโตสม่ำเสมอ
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2567 มี 4 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้ 1. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 จะอยู่ในภาวะที่แต่ละประเทศชะลอตัวไม่เหมือนกัน (Uneven slowdown) จากภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้นต่อเนื่องและค้างไว้เป็นเวลานาน (Higher for longer) ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ไปจนถึงช่วงกลางปี 2567 เป็นอย่างน้อย โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จะมาจากการชะลอตัวของภาคการส่งออก รวมทั้งภาคธุรกิจที่อ่อนไหวสูงต่อดอกเบี้ย ได้แก่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคก่อสร้าง ทั้งนี้ ประเทศที่ยังมีตลาดแรงงานและค่าจ้างเติบโต จะมีกำลังซื้อในประเทศ ช่วยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังชะลอตัวแบบจัดการได้ (soft landing) เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่วนประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก และมีปัจจัยถ่วงเฉพาะตัว เช่น การฟื้นตัวช้าของภาคอสังหาริมทรัพย์ มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวค่อนข้างมาก เช่น จีน และ เวียดนาม
2. ดอกเบี้ยแม้จะสูงนาน แต่ตลาดก็มีความคาดหวังจะเห็นการลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง (market expectation on policy rate cuts) จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ โดยในส่วนของ SCB CIO มีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2567 ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น คาดว่า จะปรับมาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control : YCC) ให้เข้มงวดขี้น ในช่วงเดือน เม.ย. 2567 แล้วจึงจะยกเลิกทั้งมาตรการ YCC และนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (NIRP) ในเดือนต.ค.2567 โดยธนาคารกลางกลุ่มประเทศ Emerging markets ส่วนใหญ่ เช่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และ อินเดีย มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ในปี 2567 อย่างไรก็ดี แม้ตลาดคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ แต่ในส่วนของนโยบายการคลังนั้น หากประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้วมีแนวโน้มจะทำมาตรการการคลังขนาดใหญ่ ก็จะทำให้ตลาดมีความกังวล และส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น และค่าเงินอ่อนค่าลง
3. ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตาม ได้แก่ ความเสี่ยงด้าน Stagflation คือเศรษฐกิจโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง โดย SCB CIO ประเมินว่ากลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้สูงกว่าภูมิภาคอื่น ในขณะที่ภาคธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield to Worst) ของกลุ่มหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ในสหรัฐฯ ที่ล่าสุดอยู่ในระดับ 8.6% หรือกรณี yield หุ้นกู้ไทย rating BBB อายุ 5 ปี ที่ล่าสุดอยู่ที่ 5.6%
4. ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและนโยบาย จากการเลือกตั้งในหลายประเทศเศรษฐกิจหลัก เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา เพราะอาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้ โดยในปี 2567 จะมีการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 ม.ค. อินโดนีเซีย ในวันที่ 14 ก.พ. อินเดีย ในช่วง เม.ย.-พ.ค.และ สหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. เป็นต้น ซึ่งในช่วงการหาเสียงและประกาศนโยบาย อาจมีผลทำให้ตลาดการลงทุนเกิดความผันผวน จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศได้
“เราคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว (interest rates peaked) ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในเงินฝาก และตลาดเงิน (money markets) ค่อนข้างมาก ฉะนั้น ในปี 2567 นี้ จึงคาดว่า นักลงทุนจะมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีมากขึ้น (increasing risk appetite) อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงแม้เริ่มลดลงมาบ้าง รวมถึงหนี้สินในบางภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง นักลงทุนควรเน้นคัดเลือกลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง” ดร.กำพล กล่าว
สำหรับการลงทุนตราสารหนี้ จากข้อมูลในอดีต พบว่า หลังจากที่ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 12 เดือน สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก ยกเว้นเพียงปี 2543 ที่เกิดวิกฤตฟองสบู่กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ส่งผลลบต่อตลาดหุ้น และตราสารหนี้ มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกด้วย แต่เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว จนนำไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed อาจทำให้ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชนเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread) ปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ประกอบกับในปี 2567-2568 จะเริ่มมีหุ้นกู้ทยอยครบกำหนดเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงการ rollover หนี้ในกลุ่มนี้มากขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำ ลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade bonds)
ส่วนการลงทุนในหุ้น แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ที่เป็นกลุ่ม Quality Growth มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ มีงบดุลที่แข็งแกร่ง โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจ ได้แก่ เราคาดการณ์ว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 และความชัดเจนของนโยบายการเงินที่ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยควรให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มที่ทนทานกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ (Defensive) มากขึ้น ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น มองว่า ทยอยสะสมได้ เพราะผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี และคาดว่าจะมีแรงซื้อหุ้นญี่ปุ่นจากนักลงทุนต่างๆ มากขึ้น
สำหรับ ตลาดหุ้นอินเดีย เราแนะนำทยอยลงทุน จากปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในช่วงของการขยายตัว และมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับในอดีต ขณะที่ตลาดหุ้นไทย มีความน่าสนใจมากขึ้น จากมูลค่าหุ้นที่คุ้มค่าขึ้น เมื่อพิจารณาในแง่ผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง
GUNKULลุยขยายพลังงานทดแทน หนุนรายได้โตเกิน 15% - WHAUPลงนามสัญญา PPA ลุย Aisin Powertrain
SPREME เร่งปิดดีล M&A ดันผลงานโต Double Digit
GUNKUL เซ็น PPA กับ กฟผ. เล็งขายไฟฟ้าเพิ่ม 31 MW
SAV ไตรมาส 1 เที่ยวบินกัมพูชาโตกว่า 20%
EXIM BANK สินเชื่อไตรมาสแรกโต 7% หนุนกำไรแตะ 132 ล้าน - LEO ทำคลอดบ.ร่วมทุน หวังปั๊มรายได้200ล.
SPREME เทรดวันแรกเหนือจอง 31.53%