Phones





CIMBT ชี้ท่องเที่ยว เกษตร การผลิต หนุนจีดีพีปีมังกร

2023-12-12 17:53:30 36



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – CIMBT ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว 3.1% ในปี 67 หลังการฟื้นตัวที่อัตรา 2.4% ในปี 66 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวใน 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร และภาคการผลิต
 
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT  เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกผันผวน ซับซ้อน และคาดเดายากขึ้นเรื่อยๆ การจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและเติบโต ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความท้าทาย ต้องอาศัยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสม ปี 2567 จึงเปรียบได้กับ ปริศนามังกร ที่มีปริศนาต้องแก้ไขฝ่าด่านเต็มไปหมด คำถามที่ยากที่สุดคือ ไทยจะรักษาสมดุลอย่างไร ระหว่างทิศทางดอกเบี้ยขาลงในตลาดการเงินโลก กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยไม่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงหรือเงินไหลออก    
 
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว 3.1% ในปี 2567 หลังการฟื้นตัวที่อัตรา 2.4% ในปี 2566 แนวโน้มการเติบโตที่ดีนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวใน 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร และภาคการผลิต สะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดภายในของไทยและการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
 
โดยในปี 2567 คาดว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีความเปราะบางและเสี่ยงสูง พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ เสี่ยงต่อการลดลงของอุปสงค์ทั่วโลกและการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ทั้งในยูเครนและอิสราเอล ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอันเนื่องมาจากหนี้สินของบริษัทที่เพิ่มขึ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำ แม้สหรัฐฯจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคได้ แต่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักอาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในกลางปี 2567 เพื่อฟื้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว
 
ขณะที่ด่านทดสอบที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คือ การออกแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคทั่วทุกภูมิภาคของประเทศโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย แม้ว่านโยบายนี้สามารถส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ (โดยอาจเพิ่มเป็น 3.6% เทียบกับ 3.1% กรณีไม่มีนโยบายนี้) แต่ยังทำให้เกิดความกังวลต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตและการไหลออกของเงินทุน ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินการและความจำเป็นของนโยบายนี้อาจต้องพิจารณาสถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 ใน 2 สถานการณ์ด้วยกัน คือ กรณีที่มีดิจิทัลวอลเล็ต และกรณีที่ไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต
 
อย่างไรก็ตาม จากคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่า 2% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงมีแนวโน้มมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้อาจรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.50% เป็น 2.00% ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ธปท.อาจเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมจนถึงสิ้นปีเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดเงินในกรณีที่มีการออกดิจิทัลวอลเล็ต
 
ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ตามการคาดการณ์ ควบคู่ไปกับราคาน้ำมันที่ทรงตัว และรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ไทยมีฐานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น และเอื้อให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าและมีเสถียรภาพได้ ทั้งนี้ คาดว่าเงินบาทจะแตะ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯภายในสิ้นปี 2567
 
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นภาคหลักของการฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาถึง 34 ล้านคนในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียน รัสเซีย และยุโรป โดยนักท่องเที่ยวจีนอาจเพิ่มขึ้นช้ากว่าคาด ทั้งนี้ แรงส่งเศรษฐกิจปีหน้าจึงยังอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยว ในส่วนของภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร คาดว่าผลผลิตทางการเกษตรจะเพิ่มขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย และได้แรงหนุนจากราคาที่ทรงตัวหรือสูงขึ้น ช่วยฟื้นฟูการบริโภคและการลงทุนในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและสินค้าเกษตร ทางด้านภาคการผลิต คาดการณ์ว่าการส่งออกจะเติบโต 2.5% ในปี 2567 โดยเฉพาะการผลิตยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหารแปรรูป แม้จะมีความท้าทาย แต่สัญญาณของการฟื้นตัวยังปรากฏชัดในอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบสำคัญ
 
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงกลางปี ​​2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางอาจยังคงที่ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้นเพิ่มการใช้จ่ายของผู้เสียภาษีอาจช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ชั่วคราว ทั้งนี้ กุญแจสำคัญในการไข 'ปริศนามังกร' อยู่ที่ไทยจะรักษาสมดุลทิศทางดอกเบี้ยขาลงของตลาดการเงินโลกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างราบรื่นมากน้อยแค่ไหน โดยไม่ส่งผลกระทบให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงหรือให้เงินไหลออก เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสดใสมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงซึ่งเราคงเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปี 2567 นี้