Phones





JSP ตั้งงบ 200 ล. ซื้อกิจการเสริมแกร่งธุรกิจ ปักเป้ารายได้ 750 ล.

2024-01-11 18:19:55 82



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - JSP เดินหน้าธุรกิจตามโร้ดแมพ 5 ปี ตั้งงบลงทุนปีละ 200 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเข้าซื้อกิจการเสริมแกร่งธุรกิจ โดยตั้งเป้าปิดดีลปีละ 2 ดีล หนุนรายได้เพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมปี 67 ตั้งเป้าไว้ที่ 750 ล้านบาท  
 
เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 บริษัทยังคงเดินตามแผนระยะยาว 5 ปี ที่วางไว้ในการก้าวสู่เบอร์หนึ่งของตลาดสุขภาพครบวงจร โดยจะเป็นผู้ให้บริการที่มีธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ คือ เป็นผู้วิจัยและพัฒนายกระดับพืชท้องถิ่นของไทยไปสู่การคิดค้นสูตรยาใหม่ๆ กลางน้ำ ด้วยการเป็นโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานระดับโลก และปลายน้ำ คือ การมีช่องทางกระจายสินค้าและบริการสู่ผู้บริโภคอย่างทั่วถึงในวงกว้าง

โดยกลยุทธ์ในการเติบโตของบริษัทจะเติบโตแบบควบคู่ทั้งแบบออร์แกนิกส์ คือ เติบโตจากภายใน และแบบการควบรวมกิจการ ซึ่ง JSP ได้วางเป้าหมายว่าในแต่ละปีจะเดินหน้าควบรวมกิจการต่อเนื่องปีละ 2 กิจการ มีงบประมาณสำหรับควบรวมกิจการปีละ 200 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจและเดินไปถึงเป้าหมายตามที่วางไว้
 
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้ 5 บริษัท ได้แก่ 1. JSP ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร โดยมีโครงสร้างรายได้มาจากทั้งสินค้าที่เป็น Own Brand และรายได้จากการรับจ้างผลิต หรือ OEM ปัจจุบันรายได้ทั้ง 2 ด้านมีสัดส่วนอยู่ที่ 40% และ 60%, 2.บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (GWM) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 52.8% ดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาล้างไต (A-B Solution) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาสำหรับผู้ป่วยฟอกไต เครื่องฟอกไตเทียม, เข็มต่อสายฟอกเลือด และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด ขณะที่ GWM ยังถือหุ้นใน “วารี เมดิคอล” ดำเนินธุรกิจการติดตั้งระบบน้ำ และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องกรองน้ำและติดตั้งระบบน้ำบริสุทธิ์ให้กับศูนย์ฟอกไตของ GWM และลูกค้าทั่วไป ซึ่งธุรกิจของ 2 บริษัทจะส่งผลให้ JSP มีธุรกิจที่เกี่ยวกับการบำบัดรักษาไตอย่างครบวงจร เช่น การเปิดศูนย์ฟอกไต ซึ่งแนวโน้มผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 20,000 ราย
 
3.บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CDIP ถือหุ้นโดย JSP 65% ประกอบธุรกิจด้านการรับจ้างวิจัยเชิงวิชาการในห้องปฏิบัติการ รับจ้าง ทดสอบและวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงจัดงานฝึกอบรมและสัมมนา และส่วนงานให้คำปรึกษาการยื่นขอทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา เป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับการนำไปต่อยอดด้านการผลิตยา อาหารเสริม รวมถึงเครื่องสำอางสำหรับคนและสัตว์ ซึ่งมีจุดเด่น คือ ธุรกิจนี้ยังมีผู้เล่นน้อยรายในประเทศไทย จึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคตของ JSP นอกจากนี้ CDIP ยังได้เข้าลงทุนใน “เมดิส คอร์ปอเรชั่น (MEDIS)” ถือเป็นธุรกิจปลายน้ำอีกหนึ่งด้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และยังเป็นธุรกิจแพลตฟอร์มจำหน่ายยา 24 ชั่วโมง ทำการจำหน่ายยาสามัญประจำบ้าน ผลิตภัณฑ์สุขภาพและ เครื่องมือแพทย์เบื้องต้น ผ่านตู้จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจรรายแรกในไทย ซึ่งภายใน 5 ปีตั้งเป้าจะติดตั้งให้ครบ 1,000 ตู้
 
4.บริษัท แคร์ซูติก จำกัด บริษัทย่อยที่ JSP ถือหุ้นสัดส่วน 100% เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านอินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ ที่มีทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคน และสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่ครอบคลุมทั้งสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เช่น สุนัข และแมว สัตว์เลี้ยงเพื่อการแข็งขันและประกวด เช่น ไก่ชน ม้าแข่ง นกสวยงาม เป็นต้น โดยไลน์ผลิตของ แคร์ซูติกจะมีขนาดเล็กกว่า JSP เพื่อรองรับกลุ่มแม้ค้าออนไลน์และเน็ตไอดอลที่ต้องการเข้ามาทดลองตลาดการสร้างแบรนด์ด้วยตนเองภายใต้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท
 
5.สุภาพโอสถ สหคลินิก ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจปลายน้ำใหม่ล่าสุดในกลุ่ม JSP ที่ได้นำร่องเปิดสาขาแรกไปเมื่อปลายปี 2566 เพื่อรองรับชุมชนโดยรอบที่อยู่ใกล้ JSP สำนักงานใหญ่ ให้เข้าถึงการรักษาด้วยแพทย์แผนไทย ใน กลุ่มผู้ที่มีปัญหาโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดัน กล้ามเนื้อ ลมในท้อง ปวดตามข้อ ผิวพรรณ และภูมิแพ้ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเปิดให้ครบ 10 สาขาภายใน 5 ปี เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้คนทั่วไปได้เข้าถึงและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์สุภาพโอสถสินค้า Own Brand ของ JSP
 
“จากการมีธุรกิจในมือค่อนข้างครบวงจร ทำให้ JSP คาดว่าจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นปีละอย่างน้อย 200 ล้านบาท ในปี 2567 นี้รายได้รวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 750 ล้านบาท และในอนาคตหากสามารถควบรวมกิจการได้อีกเป้าหมายรายได้อาจจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่าปีละ 200 ล้านบาท” นายสิทธิชัย กล่าว