Phones





L&E ส่งซิกปี 67 เทิร์นอะราวด์ ตุน Backlog แน่น 1,200 ล.

2024-02-22 18:25:02 177



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - L&E มั่นใจธุรกิจปี 67 กลับมาเทิร์นอะราวด์ คาดยอดขายเติบโต 10% รับแรงหนุนจากงานจากในมือที่มีอยู่ราว 1,200 ล้านบาท และยังมีงานที่ติดตามอยู่ค่อนข้างสูง ลุยเพิ่มช่องทางการขายโดยเน้นสินค้านวัตกรรมในงานภาครัฐมากขึ้น พร้อมกับแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต่อยอดสู่ IoT Solution การส่งออก ด้านบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น
 
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 มั่นใจว่าจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ โดยตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา และอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ เช่น โครงการ One Bangkok โครงการ Forestias โครงการ Dusit Central Park เป็นต้น และเมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย การกลับมาขยายตัวของห้างสรรพสินค้าและงานโครงการก็มีมากขึ้น อีกทั้งภาคการส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
 
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่หลังจากโรงงานในเครือ คือ บ.LEM และ บ.LES ซึ่งมีประสบการณ์การผลิตสินค้าจำนวนมากๆ สามารถปรับตัวและเร่งพัฒนากระบวนการผลิต และพัฒนา supply chain เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สินค้าของบริษัทสามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงตลาดอเมริกาที่ได้ลดลงมากในปี 2566 ด้วย และได้วางแผนขยายตลาดไปประเทศอื่นๆ
 
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มช่องทางการขายโดยเน้นสินค้านวัตกรรมในงานภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายเปลี่ยนโคมไฟถนนเป็น LED รวมทั้งหลอดไฟ LED สำหรับโครงการภาครัฐมากขึ้น โดยปัจจุบันยังมีปริมาณงานขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีงานที่ L&E อยู่ระหว่างติดตามอีกจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานโครงการถึง 70% อาทิ โครงการ Clound 11, Summit Tower, งานศูนย์ราชการ กระทรวงมหาดไทย, ตึก AIA รัชดา 2 และ จ๊อดแฟร์ อาคาร 2 เข้ามาเติมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานในมือที่ได้มา เช่น งานโครงการ One Bangkok ในส่วน Retail, Smart poles เป็นต้น โครงการ Forestias โครงการ Dusit Central Park, APAC Tower, ศูนย์การแพทย์คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น มาเสริม Backlog ที่มีอยู่ราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง
 
“บริษัทยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตธุรกิจที่เกี่ยวกับ IoT โดยสินค้า IoT ที่เกี่ยวกับแสงสว่าง รวมทั้งระบบควบคุมแสงสว่างอาคาร จากประสบการณ์โครงการที่ L&E สั่งสมมาในงานโครงการใหญ่ๆ ทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าโคมไฟอัจฉริยะรูปแบบใหม่ที่ง่ายต่อการออกแบบและติดตั้ง รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบฟังก์ชั่นก่อนใช้งาน นอกจากนี้บริษัทมีแผนต่อยอดพัฒนาเป็น IoT Solution เพื่อตอบสนองกับเป้าหมายของภาครัฐในการพัฒนาความเป็น Smart city ในแต่ละเมืองใหญ่ๆ ต่อไป โดยบริษัทยังคงยึดความเป็น Lighting Solution Provider เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน ดำเนินธุรกิจตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เที่ยงตรง” นายอนันต์ กล่าว
 
สำหรับการเติบโตของธุรกิจ Entertainment ในปี 2567 จะเน้น Hardware, Software and content โดยเติมเต็มสินค้าสำหรับงานเช่าและเพิ่มมูลค่า ด้วยเป้าหมายการเป็น Smart Rental เน้นการให้บริการสตูดิโอถ่ายทำ Virtual Production ตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้นจากลูกค้าในประเทศ ต่างประเทศ และร่วมสนับสนุนนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล รวมทั้งร่วมผลิต Content ทั้งใน TV และ Digital Platform เพื่อโชว์ศักยภาพของสินค้าและบริการ เสริมภาพลักษณ์ให้ L&E เป็นมากกว่าผู้นำธุรกิจ Lighting Solution ส่วนงาน Agriculture และ Biological&Wellness บริษัทฯเพิ่มการให้บริการครบวงจรทั้งระบบปลูก พลังงานทดแทน รวมทั้งเน้นกลุ่มพืชมูลค่าสูง รวมทั้งเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ๆ เช่น ปลาสวยงาม Aquarium lighting เป็นต้น และทำการตลาดสินค้าในกลุ่ม Wellness รวมทั้งโคมไฟและหลอดไฟ flicker-free 
 
ในส่วนของผลการดำเนินงานงวดปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 2,747 ล้านบาท ลดลง 15% จากปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ผลิตและขายสินค้าให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านบริษัทพันธมิตรลดลง 519 ล้านบาท และยังไม่สามารถหาตลาดทดแทนมาชดเชยได้ทัน แม้ว่ารายได้จากการขายและให้บริการของบริษัทแม่จะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 154 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6% ซึ่งยังไม่รวมงานโครงการต่างๆ กว่า 160 ล้านบาท ที่ต้องเลื่อนการส่งมอบงานและรับรู้รายได้ไปเป็นปีถัดไป
 
ขณะที่บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนจำนวน 24.1 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีกำไรอยู่ที่ 31.4 ล้านบาท สาเหตุใหญ่มาจากการขาดทุนจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการส่งสินค้าไปขายที่ประเทศอเมริกาผ่านบริษัทพันธมิตรได้ลดลงมาก ทั้งที่บริษัทแม่ยังมีผลกำไรจำนวน 11.3 ล้านบาท กำไรที่ปรับตัวลดลง 55.5 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นปรับตัวลดลงจำนวน 26.2 ล้านบาท สาเหตุใหญ่มาจากการผลิตและขายสินค้าผ่านบริษัทพันธมิตรไปประเทศสหรัฐอเมริกาของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ลดลงมาก และยังไม่สามารถหาตลาดใหม่มาทดแทนได้ทันในปีนี้ ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ไม่ได้ใช้งานจำนวนมาก  
 
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมของบริษัท สำหรับผลประกอบการประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.04 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 19,681,603 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 7 พ.ค. 2567 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 20 พ.ค. 2567 โดยบริษัทจะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 24 เม.ย. 2567 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว