นิวส์ คอนเน็คท์ – IRPC ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานปี 63 รับความท้าทายตลาดโลกผันผวน เน้นขยายตลาดในประเทศ รุกผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม บริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันความผันผวนของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน ลดการพึ่งพาการใช้น้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลาง

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 63 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร โดยการขยายตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของตลาดโลก เพิ่มการเจาะตลาดสินค้ามูลค่าเพิ่มร่วมกับพันธมิตร (Strategic Partners) และปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานผลิต (Reliability Improvement) ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน (Hedging Management) รวมทั้งลดการพึ่งพาการใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเพื่อบริหารความเสี่ยงแหล่งวัตถุดิบ (Secured Feedstock)

ส่วนทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดบริษัทคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันของตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 102.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีที่แล้ว เนื่องจากโรงกลั่นกลับมาเดินกำลังการผลิตอย่างเต็มที่เพื่อผลิตน้ำมันตามมาตรฐานน้ำมันเดินเรือใหม่ (IMO 2020) รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเริ่มผ่อนคลาย โดยคาดการณ์ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปี 63 อยู่ในช่วง 55 - 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ภาพรวมตลาดปิโตรเคมีคาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นจากการปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 63 ของธนาคารโลก เพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จาก 2.4% ในปี 62 และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ความต้องการพลาสติกในกลุ่มสินค้าเวชภัณฑ์ และสินค้าบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Delivery Products) สูงขึ้น และหากแนวโน้มตลาดเป็นไปตามคาด IRPC ก็สามารถดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่โดยเพิ่มขึ้นจาก 2 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปี 62 เป็น 2.15 แสนบาร์เรลต่อวันได้

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการลดการบริโภคพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว (Single Use Plastic) ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง IRPC จึงได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยการวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการหาพันธมิตรทางการผลิต และการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทุ่นลอยน้ำสำหรับโซลาร์เซลล์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาแบตเตอรี่

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส4/62 เริ่มดีขึ้น โดยมีขาดทุนสุทธิ 513 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/62 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,321 ล้านบาท เป็นผลมาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคา (Hedging) แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยืดเยื้อเรื่อยมาตั้งแต่กลางปี 61 และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสูงขึ้น ประกอบกับ supply ใหม่จากจีนและมาเลเซียทำให้ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ลดลง

ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว IRPC ได้มองหาตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศ AEC ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจโตต่อเนื่องมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้าและสิ่งแวดล้อม หรือ Human Centric ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด รวมถึงรุกธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่มีความต้องการสูงมากในแถบยุโรป

>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews