Phones





PTG โชว์ Q3 กำไรสุทธิ 211 ล้านบ. เพิ่มขึ้น 185%

2025-11-14 13:34:06 98



นิวส์ คอนเน็คท์ - PTG โชว์ผลงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.4% มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 53,706 ล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจ Non-Oil ที่มีรายได้ 6,113 ล้านบาท นำโดยกาแฟพันธุ์ไทย รายได้โตกว่า 3 เท่า จากการขยายสาขา และการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมที่เติบโต 40–50% ประกาศคงเป้ารายได้ธุรกิจ Non-Oil ปี 68 ที่ 30-40% ขณะที่สัดส่วนกำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 35-40% กลุ่มสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ยังคงเป็นตัวขับเคลี่อนหลัก

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยผลดำเนินงานไตรมาส 3/2568 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568) ของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.4% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 0.12 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 192.2% ซึ่งการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาจากการขยายตัวของกำไรขั้นต้นและสัดส่วนรายได้ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรในธุรกิจ Oil และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ดีขึ้น

สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการไตรมาส 3/2568 มีจำนวน 53,706 ล้านบาท ลดลง 1.3% ปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีราคาขายปลีกเฉลี่ยลดลง 5.8% ตามภาวะราคาน้ำมันโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ 

ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของกลุ่ม โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 6,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.8% เทียบช่วงเดียวกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8.8% จากไตรมาสก่อน นำโดย ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย ที่มีรายได้เติบโตกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 163.3% เป็น 1,508 ล้านบาท จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็น 1,885 สาขา เพิ่มขึ้น 67.4% หรือคิดเป็น 759 สาขา เทียบเท่ากับอัตราการขยายมากกว่า 2 สาขาต่อวัน และเพิ่มขึ้น 14.8% จากไตรมาสก่อน หรือ 243 สาขา และยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ที่เติบโตต่อเนื่องในระดับ 40–50% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน 
 
นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาแบรนด์ในเชิงคุณภาพ และมุ่งเน้นการพัฒนาเมนูที่มีเอกลักษณ์และเพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งเมนูเครื่องดื่ม (DIY) เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค และเสริมด้วยฐานลูกค้าสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่มีความแข็งแกร่งในการใช้บริการภายใต้ ระบบนิเวศ Max World ที่ยังคงกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทยที่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
 
ขณะที่กำไรขั้นต้น (Gross Profit) เท่ากับ 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ได้แรงหนุนจากรายได้ธุรกิจ Non-Oil ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่สูงถึง 39.3% ขณะที่ธุรกิจ Oil มีกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่เหมาะสม

สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการธุรกิจ Oil ไตรมาส 3/2568 มีจำนวน 47,593 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางรวมทั้งสิ้น 1,591 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 0.9% และแม้การขยายสถานีบริการจะเติบโตเพียง 1.3% มาอยู่ที่ 2,250 สถานี แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตเชิงคุณภาพ โดยเน้นการปรับปรุงสถานีเดิมให้ทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางค้าปลีกเป็น 21.5% ในไตรมาสนี้

ส่วนธุรกิจก๊าซ LPG มีรายได้ 2,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 6.2% เป็น 104 ล้านกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มของปริมาณการจัดจำหน่ายหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 1 ในไตรมาส 3/2568 ที่ 32.6% 

นายพิทักษ์กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินพัฒนาธุรกิจ Non-Oil ให้มีความหลากหลาย ผ่านแบรนด์ในเครือ อาทิ สถานีบริการก๊าซ LPG และก๊าซหุงต้ม PT, Max Mart, Coffee World, Subway, Autobacs, Max Camp, Maxnitron, EleX by EGAT PT รวมถึงสถานีบริการรูปแบบใหม่ GIGA EV จากฐานลูกค้าสมาชิกรวมกว่า 27 ล้านรายทั่วประเทศ เป็นกลไกหลักสนับสนุนการเติบโต

อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงประมาณการรายได้จากธุรกิจ Non-Oil ทั้งปีจะเติบโตอยู่ในช่วง 30–40% และคาดสัดส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 35–40% โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 35.9% สอดคล้องกับเป้าประมาณการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการขยาย Non-Oil Touchpoints ให้ครบ 3,634 สาขา ภายในสิ้นปี 2568

ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศคาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัว จากมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” จากภาครัฐ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าการเติบโตของปริมาณจำหน่ายน้ำมันปี 2568 อยู่ในกรอบ 1–3% และตั้งเป้าขยายสถานีบริการให้ครบ 2,279 สถานีภายในสิ้นปี 2568 โดยมุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานการให้บริการและการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านระบบสมาชิก เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงของส่วนแบ่งตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย

“บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ด้วยการสร้างโอกาสในการทำงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต และสนับสนุนการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “อยู่ดี มีสุข” ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสนับสนุนการเติบโตขององค์กรในระยะยาว” นายพิทักษ์ กล่าว