นิวส์ คอนเน็คท์ – KTC แจ้งกำไรสุทธิครึ่งปีแรกปี 62 โต 16% อยู่ที่ 2,913 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสูงกว่าอุตสาหกรรม และ NPL ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลต่ำกว่าอุตสาหกรรม เดินหน้าครึ่งปีหลัง มุ่งสร้างความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ลดกระบวนการทำงานที่ไม่จำเป็น และรักษาคุณภาพหนี้ดีต่อเนื่อง

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 62 คาดว่า จะสามารถสร้างผลงานได้ดีกว่าประมาณการเดิมที่เคยเปิดเผยไว้ และเติบโตได้อย่างยั่งยืนจากการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ทั้งนาโนไฟแนนซ์ และพิโกไฟแนนซ์ รวมถึงธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ซึ่งคาดว่าจะเห็นภาพธุรกิจใหม่ที่ชัดเจนได้ภายใน 18-24 เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม KTC จะยังรักษามาตรการในการป้องกันความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ พัฒนาเทคโนโลยีใหม่สนับสนุนธุรกิจ และควบคุมความเสี่ยงในการทุจริตบัตร และรักษาพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพดีต่อเนื่องตลอดกระบวนการ

สำหรับผลการดำเนินงานของ KTC ในช่วงครึ่งปีแรกถือว่ามีการเติบโตดีกว่าที่คาดไว้ โดยสามารถสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่องจากปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรและยอดลูกหนี้ของสินเชื่อบุคคลที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการควบคุมคุณภาพพอร์ตที่ดี มีอัตราหนี้เสียที่ต่ำ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 16% หรืออยู่ที่ 2,913 ล้านบาท

ขณะที่โดยพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 77,121 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี เติบโต 8.8% แบ่งเป็นบัตรเครดิต 2,405,570 บัตร ขยายตัว 6.9% ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 49,658 ล้านบาท สัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ 12.5% อัตราเติบโตการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีรวมเท่ากับ 10.5% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโต 8.2% ส่วนแบ่งการตลาดของการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 11.3%

ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.13% ลดลงต่อเนื่องจาก 1.27% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.01% ลดลงจาก 1.08% โดยอุตสาหกรรมอยู่ที่ 1.85% สินเชื่อบุคคล 985,037 บัญชี ขยายตัว 13.6% ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 27,177 ล้านบาท สัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 5.1% และ NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.81% เพิ่มเล็กน้อยจาก 0.77% โดยสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อ NPL ยังคงมูลค่าสูงที่ 622% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 605%