Phones





MAGURO เคาะ IPO หุ้นละ 15.90 บาท เทรด mai 5 มิ.ย.นี้

2024-05-24 19:06:09 303



นิวส์ คอนเน็คท์ - MAGURO แต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นลีดอันเดอร์ ไร้ท์เตอร์ พร้อมกับโบรกเกอร์อีก 5 แห่ง ร่วมจำหน่ายหุ้น IPO จำนวน 34.06 ล้านหุ้น กำหนดราคาจองซื้อหุ้นละ 15.90 บาท คาดเข้าเทรด mai วันที่ 5 มิ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 34.06 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท พร้อมด้วย บล.อีก 5 แห่ง เป็นผู้จำหน่ายร่วม ได้แก่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บล. ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บล.ทรีนีตี้ , บล. บียอนด์ จำกัด (มหาชน) และ บล. ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 34.06 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 21.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 17.03% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte Ltd จำนวน 12.60 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.00% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ที่ราคาหุ้นละ 15.90 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค. นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (AGRO) ในวันที่ 5 มิ.ย. 67 ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า "MAGURO"  

“MAGURO ถือเป็นธุรกิจร้านอาหารที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งการกำหนดราคา IPO ที่ 15.90 บาทเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งมี Brand Portfolio ที่โดดเด่น เริ่มต้นจากแบรนด์ “MAGURO” (มากุโระ) ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถพัฒนาและสร้างแบรนด์ใหม่ได้อีก 2 แบรนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีไม่ว่าจะเป็น “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ตเตอร์) ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม และ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) ร้านชาบูและสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม 

ซึ่งร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ นี้ สามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์จากคุณภาพและรสชาติของอาหาร จนทำให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยมียอดผู้ติดตามบน Social Media มากกว่า 500,000 ราย และเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิก (Membership) กว่า 145,000 ราย ซึ่งในปี 2566 สมาชิกดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ กว่า 54.36% ซึ่งถือว่าเป็นลูกค้าประจำที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นฐานสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์ใหม่ในอนาคตของบริษัทฯ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการเติบโดที่โดดเด่น ทั้งรายได้และกำไร โดยในช่วงปี 64-66 บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 64.91% และ 96.38% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลทั้งจากการเปิดสาขาใหม่ และการเติบโตจากรายได้ของสาขาเดิม ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งจากการขยายสาขาเพิ่มเติมและการเปิดแบรนด์ใหม่ โดยในปีนี้บริษัทฯ ยังมีแผนในการเปิดสาขาใหม่ 11 สาขา ซึ่งจะส่งผลให้ ณ สิ้นปี บริษัทฯ จะมีสาขาเพิ่มเป็นจำนวน 36 สาขา เติบโตขึ้นจาก 25 สาขา ณ สิ้นปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคลธรรมดาหลายราย ที่มีความประสงค์ที่จะลงทุนในหุ้นของ MAGURO แต่เนื่องจากจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายในครั้งนี้มีจำนวนหุ้นเพียง 34.06 ล้านหุ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 4 ท่าน จึงได้ตกลงที่จะขายหุ้นสามัญในส่วนที่เหลือทั้งหมดจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 5,610,400 หุ้น คิดเป็น 4.45% ของหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ให้แก่นักลงทุนสถาบันจำนวน 3 ราย ได้แก่ (1) กองทุนส่วนบุคคล โดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด จำนวน 2,805,200 หุ้น (2) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,402,400 หุ้น และ (3) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด จำนวน 1,402,800 หุ้น ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ผ่านการซื้อขายแบบ Big Lot ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 

อีกทั้ง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในการเข้ามาซื้อขาย นักลงทุนสถาบันทั้ง 3 ราย ร่วมกับ Holistic Impact Pte. Ltd ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมที่ยังคงถือหุ้นในบริษัทฯ จำนวน 17,029,400 หุ้น คิดเป็น 13.52% ของหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ยังได้ทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นที่ตนถืออยู่เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นเมื่อนับรวมกับหุ้นที่ถูกติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะมีหุ้นที่ถูกห้ามขายรวมเป็นจำนวนกว่า 72.97% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ

นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า จากที่ได้ร่วมงานกับ MAGURO ทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารธุรกิจให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้การแข่งขันที่สูง ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหารระดับ Premium Mass ที่สามารถสร้างเครือข่ายร้านอาหารที่แข็งแรง ทั้งในแง่ของการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลการดำเนินงานและสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2566 มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูงถึง 45.17% และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% รวมถึง บริษัทฯ ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ด้านนายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญ MAGURO ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิม ปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ MAGURO ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส (Premium Mass) ภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” โดยณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ 1. ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา 2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา และ 3. ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 7 สาขา ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 3 แบรนด์ จำนวน 27 สาขา อีกทั้ง ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยง ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO”

ผลการดำเนินงานใน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า โดยมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40.00% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่าง ๆ