BAY โชว์กำไรครึ่งปีแรก 1.57 หมื่นล. คุมเข้มสินเชื่อรายย่อย
2024-07-19 16:18:52
182

นิวส์ คอนเน็คท์ – BAY ประกาศผลงานครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิ 1.57 หมื่นล้านบาท ลดลง 7.9% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเอสเอ็มอี ขยายตัว 0.8% ในส่วนของสินเชื่อรายย่อยลดลง 3.5% จากการเพิ่มความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ หลังภาระหนี้ของลูกหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 15,752 ล้านบาท ลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มจำนวนจากบริษัทลูกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้ควบรวมมาในปี 2566 และกำไรจากการดำเนินงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมลดลง 1.3% หรือจำนวน 25,273 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธ.ค. 2566 โดยมีปัจจัยบางส่วนมาจากสินเชื่อรายย่อยที่ปรับตัวลดลง 3.5% ตอกย้ำนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดรัดกุมภายใต้บริบทที่ภาระหนี้ของลูกหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยังมีการเติบโตโดยรวมอยู่ที่ 0.8% จากแรงสนับสนุนต่อความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี ในส่วนของเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 4.2% หรือจำนวน 76,787 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธ.ค. 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากเงินรับฝากประจำ
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.31% จาก 3.52% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี 2566 แม้ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 26.6% หรือจำนวน 4,708 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี 2566 การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันภายในประเทศ การเพิ่มขึ้นของหนี้สูญรับคืน และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน
ด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 43.3% ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.6% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.05% ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.43% และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 128.8% อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.87% เทียบกับ 18.24%
ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2566
ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2567 ยังคงมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ประกอบกับการส่งออกที่เริ่มเติบโตตามสภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แรงส่งของเศรษฐกิจไทยยังถูกจำกัดจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยภาพรวม รวมถึงข้อจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
“ภายใต้บริบทความท้าทายดังกล่าว กรุงศรียังคงมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปีที่ 2.4% ภายใต้สมมุติฐานว่ากิจกรรมเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567” นายเคนอิจิ กล่าว