Phones





KTB โชว์ผลงานไตรมาส 3/67 ฟาดกำไร 1.1 หมื่นล.

2024-10-22 00:07:21 73



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – KTB ประกาศงบการเงินไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิ 11,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เน้นบริหารพอร์ตอย่างสมดุล จัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น รักษาระดับ Coverage Ratio รองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่ำและมีความไม่แน่นอนสูง พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าฝ่าวิกฤติน้ำท่วม
 
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารอยู่ที่ 11,107 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยธนาคารเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินทรัพย์ รักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ 184.1% เพิ่มขึ้นจาก 181.3% ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566
 
ทั้งนี้ สินเชื่ออยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการบริหารจัดการ Portfolio รักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน แม้มีการชำระคืนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานขยายตัวเล็กน้อย 2.8% บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 42.4% ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมถึงความท้าทายจากการขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ มีสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 98,301 ล้านบาท ลดลง 1.1% จากสิ้นปี 2566 มี NPLs Ratio เท่ากับ 3.14%
 
ขณะที่ผลประกอบการช่วง 9 เดือนของปี 2567 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 33,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% โดยธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน บริหารจัดการ Portfolio อย่างสมดุลและมีคุณภาพ กอปรกับการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งจากหนี้สูญรับคืน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานขยายตัว 9.9% ธนาคารได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับ 42.5%
 
ในส่วนของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายอย่างระมัดระวังโดยธนาคารตั้งค่าเผื่อด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายตามศักยภาพของทรัพย์สินอย่างเหมาะสม อีกทั้งธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อพร้อมรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
 
โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 2567 ธนาคารมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ระดับ 18.95% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 20.97% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด
 
ทั้งนี้ ธนาคารให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้สามารถปรับตัวและฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน โดยธนาคารตระหนักถึงสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่ของประเทศส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง เร่งบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีพและออกมาตรการทางการเงินเพื่อลดภาระทางการเงินให้กับผู้ประสบภัย ครอบคลุมการลดดอกเบี้ย และลดค่างวดชำระหนี้ พร้อมเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ ตลอดจนการซ่อมแซมทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย
 
นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อการดำรงชีพของลูกค้าประชาชน และเป็นอุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จึงเดินหน้าขยายความร่วมมือเพิ่มเติม ภายใต้ “โครงการรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” โดยมีความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจกำลังพล สหกรณ์ข้าราชการสหกรณ์จำกัด และสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น และอยู่ระหว่างขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือข้าราชการกลุ่มเปราะบาง ลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องในการดำรงชีพ พร้อมส่งเสริมความรู้ สร้างวินัยทางการเงิน ตามแนวทางการแก้หนี้ยั่งยืน และแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย