Phones





EXIM BANK หวั่นส่งออก Q3 ชะลอตัว รับพิษสงครามการค้า

2025-06-05 18:20:00 104



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – EXIM BANK จับสัญยษรภาคการส่งออกไทยไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มชะลอตัว รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ขณะที่สถานการณ์สงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง แม้สหรัฐประกาศเลื่อนการเก็บภาษีในอัตราสูงสุด มองฉุดการนำเข้าของสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง
 
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ระบุว่า ดัชนีชี้นำการส่งออกของไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้าหรือ EXIM Index ล่าสุด ณ ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 100.5 ลดลงจากระดับ 102.5 ในไตรมาส 1 และถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส สะท้อนการส่งออกไทยไตรมาส 3/2568 มีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ภาคการผลิตไทยที่ยังซบเซา ราคาส่งออกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกที่ลดลง ทั้งนี้ ต้องติดตามคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศและศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษี ขณะเดียวกันต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงภาษีในอัตราที่ไม่สูงไปกว่าคู่แข่ง โดย EXIM BANK คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะยังขยายตัวได้ที่ 0.5-1.5%
 
อย่างไรก็ตาม แม้ล่าสุดสงครามการค้าจะเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนมีการเจรจาพักรบกันชั่วคราว โดยต่างฝ่ายต่างปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าลงฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน (สหรัฐฯ เก็บภาษีจีนเหลือ 30% และจีนเก็บภาษีสหรัฐฯ เหลือ 10%) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ Downside Risks ยังคงปกคลุมการส่งออกของไทยตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 2568 สะท้อนได้จากดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย (EXIM Index) ล่าสุด ณ ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 100.5 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส จากปัจจัยกดดันใน 4 มิติ ดังนี้
 
มิติที่ 1 : เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มชะลอลง (ดัชนีด้านอุปสงค์อยู่ที่ 100.7 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส) กิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศส่งสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหลักของสงครามการค้าครั้งนี้ และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และ 2 ของไทย (สัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของมูลค่าส่งออกรวม) สะท้อนได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ณ เดือนเม.ย. 2568 ของทั้งสองประเทศปรับลดลงมาอยู่ในโซนหดตัวพร้อมกันครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ประกอบกับหากพิจารณา GDP ไตรมาส 1 (q-o-q) ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 12 ไตรมาสที่ 0.2%
 
นอกจากนี้ การส่งออกของหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทยไปสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นแบบ Front-Load ในไตรมาส 1/2568 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีในอัตราสูงสุดกับประเทศส่วนใหญ่และจีนออกไป 90 วัน สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ก.ค. 2568 และ 12 ส.ค. 2568 ตามลำดับ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า หลังช่วงเวลาดังกล่าวคำสั่งซื้อจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่มีการเร่งนำเข้าในช่วงก่อนหน้าไปแล้ว
 
มิติที่ 2 : ภาคการผลิตไทยยังไม่กระเตื้อง (ดัชนีด้านอุปทานอยู่ที่ 99.4 ต่ำสุดในรอบ 2 ไตรมาส) เมื่อพิจารณาด้านอุปทานยังมีความน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการผลิตของไทยที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ณ เดือนมี.ค. 2568 ยังหดตัว 5 เดือนติดต่อกัน เช่นเดียวกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ต่ำกว่า 60% เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจด้านภาวะส่งออกใน 3 เดือนข้างหน้าก็หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน จากความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์ ประกอบกับหลายอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสร้างแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาคการผลิตและการส่งออกของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs
 
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยอาจเผชิญกับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เร่งตัวขึ้นระยะสั้น หลังค่าระวางเรือทั่วโลก โดยเฉพาะเส้นทางจากจีนไปสหรัฐฯ ขยับขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2568 จากความต้องการตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากยอดจองตู้คอนเทนเนอร์จากจีนไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 150% ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีการเร่งส่งออกอีกครั้งหลังสหรัฐฯ กับจีนพักรบกันชั่วคราว ขณะเดียวกันในระยะถัดไป สหรัฐฯ ยังเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมเรือที่สร้างในจีนและ/หรือเรือสัญชาติจีนในเดือนต.ค. 2568 เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ผู้ส่งออกทางเรืออาจเผชิญข้อจำกัดด้านเวลาในการขนส่งให้ทันวันที่ 9 ก.ค. 2568 ก่อนที่ทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีกับไทยที่ 36% ทำให้การส่งออกหลังจากนี้อาจชะลอลงเพื่อรอความชัดเจนในการเจรจาก่อน
 

ขณะที่มิติที่ 3 : ราคาส่งออกถูกกดดันจาก Demand ที่ไม่สดใสและ Supply ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น (ดัชนีด้านราคาอยู่ที่ 99.8 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส) ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงต่อเนื่องจนอยู่ต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง และการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรโลกก็มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ต้นปี 2568 จากอุปทานในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนหลายประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญโดยเฉพาะอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่ปลายปี 2567 กดดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงอย่างมาก ปัจจัยข้างต้นมีส่วนทำให้ดัชนีราคาส่งออกของไทยเดือนมี.ค. 2568 ขยายตัวต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี
 
ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) และธนาคารโลกคาดว่า ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรโลกปี 2568 มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนราว 20% และ 4% ตามลำดับ สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนขนส่งของผู้ประกอบการบางส่วนลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกดดันให้มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตร (สัดส่วนราว 10% ของส่งออกรวม) และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน (สัดส่วนราว 10% ของส่งออกรวม) ปรับลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
สำหรับมิติที่ 4 : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกยังเปราะบาง สะท้อนทิศทางการค้าโลกมีแนวโน้มซบเซา (ดัชนีด้านความเชื่อมั่นอยู่ที่ 100.1 ต่ำสุดในรอบ 8 ไตรมาส) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของหลายประเทศทั่วโลกปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งจีน ยุโรป และญี่ปุ่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่แม้จะเร่งขึ้นระยะสั้นแต่ยังอยู่ในเกณฑ์แย่ลง (ต่ำกว่า 100) โดยผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัว+เงินเฟ้อสูง) จากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของทรัมป์ สะท้อนทิศทางการค้าโลกในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มชะลอลง
 
แม้ล่าสุดตัวเลขการส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จะขยายตัวได้ 14% จากการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อนการปรับขึ้นภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งออกไทยช่วงไตรมาส 3/2568 จะเผชิญความท้าทายมากขึ้นและถือเป็นห้วงเวลา Turning Point สำคัญ สอดคล้องกับทิศทางของ EXIM Index ที่ลดลงจากทั้ง 4 มิติที่กล่าวข้างต้น โดยเฉพาะหากหลัง 90 วันของการเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจากไทยสิ้นสุดลงในวันที่ 9 ก.ค. 2568 ไทยยังเจรจาไม่สำเร็จ ส่งผลให้ภาษีกลับมาอยู่ในระดับสูงสุดที่ 36% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศ รวมถึงจีนที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 30% จนถึงวันที่ 12 ส.ค. 2568 ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบคู่แข่งเพิ่มเติม กดดันคาดการณ์ส่งออกในครึ่งปีหลัง และทำให้ทั้งปีขยายตัวเหลือ 0.5-1.5%
 
ทั้งนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีทรัมป์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวรับมือประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ 1.เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง ด้วยการติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันการรับสินค้าและตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านภาษี, 2. เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการประกันการส่งออก, 3. เข้าสู่ตลาดใหม่ ด้วยการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยง และ 4. เข้าใจและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้ประเมินผลกระทบและปรับกลยุทธ์ให้ได้อย่างทันท่วงที
 
ขณะที่ปัจจุบัน EXIM BANK ได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเปิด Export Clinic ให้คำปรึกษาแนวทางในการปรับตัว มาตรการช่วยเหลือทางการเงินทั้งการยืดหนี้ เสริมสภาพคล่อง และกระจายตลาดใหม่ ๆ ตลอดจนบริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงรอบด้าน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถฝ่าฟันสงครามการค้าครั้งนี้ และกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป