โดย BlackRock Investment Institute ได้สรุปแนวทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ แนวทางแรก คือ การลงทุนที่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน (investing in the here and now) แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบายมหภาค แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ความจำเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หรือข้อจำกัดเชิงกายภาพในการปรับห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างฉับพลัน ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกและตลาดทุนเป็นไปอย่างจำกัด แนวโน้มเศรษฐกิจระยะสั้นจึงมีความแน่นอนมากกว่าระยะยาว ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับการจัดสรรสินทรัพย์แบบ Tactical (ภายใน 6–12 เดือน) มากขึ้น และยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเน้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกำไรที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจาก AI
แนวทางที่สอง คือ การลงทุนท่ามกลางภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง (Taking risk with no macro anchor) เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (alpha) ได้มากกว่าช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยจำเป็นต้องบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น ทั้งนี้ กรอบการลงทุนแบบเก่า ที่เน้นบริหารแบบ passive หรือ พึ่งพาปัจจัยมหภาคอาจไม่เพียงพอ ขณะที่ ความสำเร็จในการสร้าง alpha ในยุคนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารแบบ active ทักษะการเลือกหุ้นรายตัว และความสามารถในการปรับตัว
แนวทางสุดท้าย คือ การลงทุนที่เน้นแรงขับเคลื่อนในโครงสร้างระยะยาว (Finding anchors in mega forces) แม้แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ Mega forces ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว เช่น การเติบโตของ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Private capital ดังนั้น ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการของ Mega Trend เหล่านี้ ต่อแต่ละกลุ่มสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดรับกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป