Phones





TCMC ผลประกอบการ Q3/2565 โชว์ผลกำไรเพิ่ม

2022-11-15 16:05:07 98



นิวส์ คอนเน็คท์ - TCMC เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 65 ทำรายได้กว่า 2 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 16.66 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องตามภาวะตลาดฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) คำสั่งซื้อคึกคักจากการกลับมาของธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมและการจัดการประชุม พร้อมปรับกลยุทธ์ลุยต่อเพื่อการเติบโตในอนาคต ปรับใช้พลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดต้นทุนบริษัท สอดรับโมเดลธุรกิจ BCG  

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TCMC) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 มีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 จำนวน 2,037.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,018.50 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.95 และมี EBITDA จำนวน 128.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 19.95 และมีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิ 16.66 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1.79 ล้านบาท เป็นผลมาจากตลาดที่เริ่มฟื้นกลับมาของกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ความพยายามลดต้นทุนและการปรับใช้พลังงานหมุนเวียนของทุกกลุ่มธุรกิจ                      

 “การฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการเติบโตและผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี จากการที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การจัดกิจกรรมการประชุมต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าพร้อมสั่งวัสดุปูพื้นมากขึ้น ทำให้ธุรกิจในกลุ่มวัสดุตกแต่งพื้นผิวได้รับผลดีจากการฟื้นตัวดังกล่าว แม้จะยังไม่เท่าก่อนเกิดโควิดก็ตาม นอกจากนี้ทางบริษัทก็พยายามเต็มที่ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเงินเฟ้อและราคาต้นทุนที่สูงขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ เน้นการใช้ทรัพย์สินอย่างเต็มประสิทธิภาพ ปรับกลยุทธ์สู่การเติบโตที่เน้นความยั่งยืนมากขึ้น เช่น การลงทุนติดตั้งแผงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงาน การใช้เครื่องย้อมที่ช่วยประหยัดการใช้น้ำมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาคน ปรับวัฒนธรรมองค์กร และการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางสาวปิยพร กล่าว 

ทั้งนี้ จากการเปิดตลาดใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้โอกาสเปลี่ยนชื่อกลุ่มธุรกิจปูพื้น (TCM Flooring) เป็นกลุ่มวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเติบโตต่อไปในอนาคต โดยเน้นการขยายไลน์สินค้าสู่กลุ่มวัสดุตกแต่งพื้นผิวโดยไม่จำกัดแค่พรมหรือวัสดุปูพื้นอีกต่อไป และจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจ ทำให้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 648.53 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 71.56 นอกจากนี้จากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน ทำให้กลุ่มธุรกิจมีอัตราส่วนต้นทุนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนทั้งจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เข้ามามากขึ้น และการทำ lean ในส่วนงานผลิต รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ตามโมเดลธุรกิจ BCG (Bio Circular Green Economy) เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ที่ช่วยลดต้นทุนค่าไฟได้บางส่วน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อยอดขายต่ำลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทำให้กลุ่มธุรกิจมีผลกำไรสุทธิ 54.21 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 356.32 

กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) รอการกลับมาของวัตถุดิบ ในไตรมาสที่ผ่านมา แม้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการขาดแคลนชิพประมวลผลและวัตถุดิบ ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย กลุ่มธุรกิจมียอดขาย 202.26 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 34.52 โดยมี อัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 21.78 ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ร้อยละ 23.13 เป็นผลจากต้นทุนในด้านราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่สูงต่อเนื่อง แต่จากความพยายามในการปรับตัว กลุ่มธุรกิจมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารโดยรวมเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อยอดขายลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการปรับโครงสร้างบริหารภายใน ทำให้กลุ่มธุรกิจมีผลกำไรสุทธิ 18.27 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 54.54  

ด้านกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) มีรายได้ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.35 เนื่องจากตลาดชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดอังกฤษที่กำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย ทำให้กลุ่มลูกค้าทั่วไประมัดระวังการใช้จ่าย ส่วนลูกค้ากลุ่มระดับบนใช้เวลาช่วงฤดูร้อนท่องเที่ยวมากขึ้นทำให้ยอดขายลดลง อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากผลกระทบจากค่าขนส่งที่สูงต่อเนื่อง การขาดแคลนโฟม และต้นทุนวัตถุดิบที่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงค่าเงินปอนด์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินยุโรปและสหรัฐ อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ยังคงสามารถประคองตัวได้ ถึงแม้จะมียอดขายลดลงบ้าง ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิที่ 55.81 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีผลกำไรสุทธิ 7.38 ล้านบาท  

ทั้งนี้ สภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มบริษัทโดยรวมยังอยู่ในสภาพที่ดี ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ยังมีโรคระบาดโควิด-19 โดยมีอัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้าอยู่ที่ 6.64 เท่า ดีขึ้นกว่าปีที่ก่อนซึ่งอยู่ที่ 5.63 เท่า เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีความระมัดระวังในการให้เครดิตกับลูกค้ามากขึ้น ทั้งยังมีสภาพคล่องในการชำระหนี้ค่าสินค้าและเป็นการรักษาเครดิตที่ได้รับจาก Supplier และมีการระบายสินค้าคงคลัง เพื่อลดปริมาณการผลิตสินค้าไว้เป็นสต๊อค ทำให้มีอัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลังอยู่ที่ 7.24 เท่า สูงกว่าปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 7.12 เท่า อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2.22 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 2.17 เท่า เนื่องจากในปี 2565 กลุ่มบริษัทโดยรวมมีการผลิตและจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้นจึงทำให้มีเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อัตราตอบแทนผู้ถือหุ้น อัตราตอบแทนจากสินทรัพย์ อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มบริษัทดีขึ้น