Phones





“โกลเบล็ก” แนะเก็งกำไรหุ้นเข้าคำนวณ FTSE SET

2022-12-14 18:28:48 159



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - บล. โกลเบล็ก ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ Sideway จากแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน และการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 พร้อมแนะจับตาผลประชุมเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% โดยให้กรอบดัชนีที่ 1,600-1,650 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นนำเข้าคำนวณใน FTSE SET Large Cap และ FTSE SET Mid Cap
 
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัว Sideway ออกข้าง โดยมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ Rebound หนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมเฟดในวันพุธที่ 14 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค.ตามเวลาไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50%
 
นอกจากนี้ ทางโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเปิดประเทศของจีนในปี 66 เพื่อเร่งผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 โดยขณะนี้ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และมีแนวโน้มเปิดประเทศในไม่ช้านี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนอุปสงค์การส่งออกและการเดินทางระหว่างประเทศ คาดกรอบดัชนีที่ 1,600-1,650 จุด
 
ด้านปัจจัยที่ต้องจับตาในประเทศ อาทิ วันนี้ (14 ธ.ค.) จะมีการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ฉบับย่อ และรายงานนโยบายการเงิน สภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/65 รวมทั้งทางอียู จะมีการรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.ซึ่ง สหรัฐ รายงานราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนพ.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ (เช้าวันที่ 15 ธ.ค.) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และวันที่ 15 ธ.ค. จีน รายงานดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.เช่นเดียวกับธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย
 
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่คาดว่านำเข้าคำนวณใน FTSE SET Large Cap และ FTSE SET Mid Cap ซึ่งมีผลวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ได้แก่ AWC, JTS, RAM และ TLI รองลงมาเป็นหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน ได้แก่ BJC, CPALL, MAKRO, CRC, COM7, SPVI, CPW, JMART, HMPRO, ZEN, M และ AU
 
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาพรวมราคาทองคำในเดือนที่ผ่านมามีแรงรีบาวด์จากจุดต่ำสุดบริเวณ 1,664 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 7.7% สอดคล้องกับดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคบริการที่หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือนสู่ระดับ 47.6 และ 46.1 ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดผ่อนคลายเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐที่อ่อนตัวลงจากระดับ 4.24% เหลือ 3.47% สอดคล้องกับดัชนีดอลลาร์ที่ปรับตัวลงระดับ 104.37 อีกทั้งแนวโน้มประชุม FOMC ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมคาดว่าจะลดลงจาก 0.75% เหลือ 0.50% อย่างไรก็ตามกองทุน SPDR มีสถานะขาย -14.5 ตันในเดือน พ.ย.
 
ดังนั้นในเดือนนี้แนะนำจับตาประกาศตัวเงินเฟ้อสหรัฐเดือนพฤศจิกายน หากตัวอ่อนตัวต่อเนื่อง และ Fed Watch ที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมเดือน ธ.ค. สู่กรอบ 4.25-4.50% เป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำฟื้นตัวได้ดี จึงแนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังมีทั้งทิศทางบวกและลบ ขณะที่ตลาดรับข่าวร้ายจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว ในระหว่างเดือนหากราคาทองคำย่อตัวไม่หลุดแนวรับที่บริเวณ 1,730-1,750 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คำแนะนำทยอยเข้าซื้อสะสม และมีจุดขายทำกำไรที่แนวต้าน 1,800-1,825 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์