Phones





เมื่อ.. PTG ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ

2022-04-07 18:32:45 2869



เมื่อ.. PTG ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ (สกู๊ปพิเศษ)

ช่วงปลายไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา บริษัท พีทีจีเอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG นำโดย นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ นำทีมผู้บริหาร แถลงแผนธุรกิจระยะ 5 ปี (2565-2569) โดยมีเป้าประสงค์หลักคือ การ "ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ" จากธุรกิจ Oil และ Non oil เป็นธุรกิจ Co-Create Ecosystem เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิตและให้ธุรกิจเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน 

โดยธุรกิจหลักที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโต ประกอบด้วย 8 ธุรกิจหลัก คือ (1) ธุรกิจน้ำมันและแก๊ซ (2) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (3) ธุรกิจ Retail แบบที่เป็น Offline to Online (4) ธุรกิจขับเคลื่อนยานยนต์โลจิสติกส์และซัพพลายเชน (5) ธุรกิจซ่อมบำรุง (6)ธุรกิจสุขภาพ ทั้งกายและใจ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (7) ธุรกิจ Digital Platform ทั้งการเงินและ Lifestyle และ (8) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด 

"ธุรกิจเหล่านี้เป็น “เมกะเทรนด์” ของโลกในอนาคต และเป็นธุรกิจที่จะสนับสนุนให้กำไรจากธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2569 และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเดิมของ “พีที” แข็งแรงขึ้น ลูกค้าของเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านการใช้สินค้าและบริการภายใต้เครือข่ายของพีทีทั้งพันธมิตรจากภายในและภายนอก ภายใต้รูปแบบการบริหารสร้างเครือข่าย Co-Created Ecosystem"
 
โดยการขยับธุรกิจสู่ Co-Created Ecosystem หรือ การทำธุรกิจแบบสร้างเครือข่าย ผ่านการสร้างสรรค์ร่วมกับพันธมิตร บริษัทคาดหวังว่าในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะสามารถสร้าง Touchpoint เพิ่มขึ้นเป็น 268,202 Touchpoint ได้ แบ่งเป็น oil 2,694 Touchpoints และ Non-oil 265,508 Touchpoint จากปีนี้ที่มี Touchpoint ที่เป็น Oil 2,114 จุด จะมาทั้งจาก Offline to online และ Touch point อื่นๆ เช่น พาทัวร์ 200,000 Touch point และคาดว่าจะมีร้านค้าที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตร 60,000 โชห่วย ร้านกาแฟจะมี 3,000 สาขา รวมถึง Platform partners ต่างๆและจะมีการ Redeem แต้มสูงถึง 10,000 ล้านแต้ม และมีจำนวนสมาชิก 30 ล้านสมาชิก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์โดยเป็นผู้ใช้งานบนออนไลน์ 25% 

นอกจากนี้ จะทรานฟอร์มไปสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่จะเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้ามาใช้บริการ รวมถึงช่วยเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ ที่ประกอบด้วย บริการทางด้านการเงิน (financial service) เช่น กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet, lending), auto insurance และ lifestyle app เช่น พาทัวร์ และในอนาคต PT ไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หรือจะก้าวส่การเป็น Global Company ในที่สุด

“เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนสำหรับธุรกิจ Non-oil ปีละประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท และจะขยายผ่านสาขาและ Touchpoint รวมถึงร่วมกับพาร์ทเนอร์หรือร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆหรือการเข้าลงทุนในบริษัท Startup ต่างๆโดยทุกธุรกิจทั้งหมดจะดำเนินการภายใต้ Max World ที่เรามีสมาชิกกว่า 17 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนอยู่ที่ 14.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน” นายพิทักษ์ กล่าว

ขณะที่ “บริษัทแมกซ์เวนเจอร์” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่จะขับเคลื่อนการลงทุนในระยะกลางและยาว โดยการเข้าไปลงทุนในโปรเจคต่างๆ เช่น Nex Pharma, Pavitree พาทัวร์ และลงทุนใน 360Truck ซึ่งเป็น Platform สำหรับ match รถบรรทุกที่ว่างกับผู้ที่ต้องการว่าจ้างงาน ซึ่งจุดมุ่งหวังถึงการเติบโตของ Platform นี้ จะทำให้ “Max World” แข็งแรงขึ้น และเป็น Enabler ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เติบโตขึ้น รวมถึงสร้าง New Business ใหม่ๆ ให้กับบริษัท

“สำหรับเป้าหมายการทำธุรกิจปี 65 บริษัทคาดว่าอัตราการเติบโตของ EBITDA จะอยู่ที่ 15-20% โดยคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันยังเติบโต 8-12% จากสิ้นปีก่อนปริมาณจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 5,020 ล้านลิตร ปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG จะเติบโต 50-60% ส่วน Non-Oil ยังคงมุ่งมั่นในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็น 1 ใน Key driver สำคัญของบริษัท คาดว่ารายได้ธุรกิจ Non-oil จะเติบโต 80-90% คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ในการขยายสาขา จะแบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG 80-100 สาขา, Non-Oil Touchpoint ประมาณ 1,572 สาขา ซึ่ง PTG ยังคงมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-oil ให้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท” นายพิทักษ์ กล่าว

ย้อนไปดูผลประกอบการปี 2564 ของ PTG พบว่า บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 133,759 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,934 ล้านบาท หรือ 28.1% และมีกำไรสุทธิ 1,017 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายและการให้บริการที่ปรับเพิ่มขึ้น ยังคงมาจากรายได้ธุรกิจน้ำมันเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 95.2% จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมทุกช่องทาง อยู่ที่ 5,020 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 1.2% จากปีก่อน ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Non-Oil ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 4.8% ของรายได้รวม เติบโต 42.9% จากปีก่อน 

น่าจับตาคือ การรุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งล่าสุด PTG จับมือกับ "ยูนิท" สตาร์ทอัพผู้ชำนาญด้านที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและการร่วมลงทุน ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน อย่างสินทรัพย์ดิจิทัล และการพัฒนาระบบบล็อกเชน โดยการทุ่มเม็ดเงินลงทุน 300 ล้านบาท ตั้ง "บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (MAXBIT DIGITAL ASSET CO.,LTD) ลุยธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker)

โดยนายปกเขตร รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด ระบุว่า การร่วมลงทุนครั้งนี้ มีทั้งหมด 4 ส่วน เป็นคนไทยทั้งหมด โดย PTG สัดส่วนการลงทุน 35%, บริษัท ยูนิท จำกัด สัดส่วน 35% ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย 2 ราย โดยเงินลงทุนเริ่มแรกอยู่ที่ 300 ล้านบาท เพื่อขอใบอนุญาตประกอบการเป็นตัวแทนการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย และเพื่อใช้พัฒนาระบบและแอพพิเคชั่นแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทำการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 

สำหรับรูปแบบของการทำสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทฯ จะเน้นฟังก์ชั่นการซื้อขายที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงในการลงทุนได้ โดยมีลักษณะจะคล้ายกับ "คอยน์เบส" ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลจากสหรัฐ ซึ่งแพลตฟอร์มที่บริษัทฯ ได้ทำการพัฒนาขึ้นมาใหม่ มีชื่อว่า “MAXBIT” ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง PTG และยูนิท พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อ "บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด"

ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับไลเซนส์มาแล้วทั้งหมด 4 ใบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส หรือ Max Card ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ อี มันนี่ ( E-Money ) และ กระเป๋าเงินดิจิทัล (E-Wallet) โดยเฉพาะ ส่วนการยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการเป็นนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker)ในประเทศไทย กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.นั้น อยู่ระหว่างกระบวนการปรึกษาหารือและเตรียมเอกสารเพื่อรอยื่นขอใบอนุญาตกับทาง ก.ล.ต.

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจของ PTG ครั้งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และคงต้องติดตามกันต่อไป.