Phones





SMO ขาย IPO เกลี้ยง 231.60 ล้านหุ้น ผถห.หลัก Lock up ทั้งหมด

2025-11-05 10:32:39 95



นิวส์ คอนเน็คท์ - SMO ปลื้ม! นักลงทุนจองกระหึ่ม 8,000 กว่าราย แห่จอง IPO เกลี้ยง 231.60 ล้านหุ้น กลุ่มครอบครัวผู้ถือหุ้นหลักประกาศ lock up ทั้งหมด ตอกย้ำความเชื่อมั่น พื้นฐานแกร่ง พร้อมเข้าซื้อขายใน SET วันแรก 10 พ.ย. 68

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เปิดเผยว่า SMO ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั่วประเทศที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้น IPO ของ SMO หมดทั้งจำนวนที่เสนอขาย 231.60 ล้านหุ้น เป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง 

ทั้งนี้ กลุ่มครอบครัวผู้ถือหุ้นหลัก 3 ครอบครัว ประกอบด้วย ครอบครัวพวงมาลา, กลุ่มครอบครัวพิริเยศยางกูร, กลุ่มครอบครัวลัม ได้ร่วมแสดงความมั่นใจในศักยภาพของบริษัทด้วยการ Lock-Up ทั้งหมด ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายย่อย ร่วมถือยาว ยกเว้นเพียง 3% เท่านั้น ตอกย้ำความมั่นใจในเสถียรภาพของโครงสร้างผู้ถือหุ้นและทิศทางการเติบโตระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทซึ่งรวมถึงผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ยังอยู่ภายใต้เกณฑ์การห้ามขายหุ้น (Silent Period) ตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่หุ้นของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ สะท้อนความเชื่อมั่นอย่างสูงของผู้ถือหุ้นต่อศักยภาพและอนาคตของบริษัท

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า SMO มีความพร้อมที่จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 10 พ.ย. 68 ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / ธุรกิจการเกษตร โดย SMO ถือเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจมั่นคง แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในด้านโรงงานสกลัดน้ำมันปาล์มดิบ และด้วยจุดเด่นการเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth Stock) โดยจะเห็นได้จากผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการดำเนินงาน การบริหารจัดการ และโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แสดงถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงของผู้บริหารและนักลงทุน

ทั้งนี้ ผลประกอบการของ SMO ในช่วงปี 2565-2567 บริษัทมีรายได้รวม 6,870.42 ล้านบาท 5,894.14 ล้านบาท และ 6,261.09 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 129.52 ล้านบาท 218.78 ล้านบาท และ 259.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.89%, 3.71% และ 4.14% ตามลำดับ 

สำหรับงวด 6 เดือนปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 4,965.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 518.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.55% โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 305% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SMO กล่าวว่า บริษัทฯ มีความยินดีที่ SMO ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่จองซื้อหุ้น IPO ครบทั้งจำนวน 231.60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หรือพาร์หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ 

การกำหนดราคาเสนอขายที่หุ้นละ 5.40 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม โดยคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.6 เท่า โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้นในรอบ 12 เดือนล่าสุด (ตั้งแต่ ก.ค. 67 ถึง มิ.ย. 68) ซึ่งเท่ากับ 650.32 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 920,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.71 บาทต่อหุ้น (Fully Diluted) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มีอัตรา P/E Ratio เฉลี่ยอยู่ที่ราว 9.8 เท่า สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความน่าสนใจของหุ้น SMO ในเชิงมูลค่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานธุรกิจ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรม มีศักยภาพสูงในการเติบโตในอนาคต

นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMO กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่น และตอบรับการจองซื้อหุ้น IPO ของ SMO อย่างอบอุ่น การระดมทุนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ยังถือเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทในการก้าวสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนใช้เงินเพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ โดยมุ่งเน้นการขยายโรงงานผลิตไปยังพื้นที่อื่นเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม รวมทั้งลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างธุรกิจโดยรวม เพื่อลงทุนในโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม การชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ