Phones





ปตท. ไตรมาส3/68 กำไรสุทธิ 19,784 ล้านบ. เพิ่มขึ้น 21.2%

2025-11-20 10:18:55 45



นิวส์ คอนเน็คท์ - ปตท. ไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.2% จากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ มาตรการลดค่าใช้จ่าย และรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ TOP และ GC ขณะที่งวด 9 เดือนปี 68 มีกำไรสุทธิ 64,632 ล้านบาท ลดลง 16,129 ล้านบาท หรือ 20%

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,460 ล้านบาท หรือ 21.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหลัก เป็นผลจากการทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและมาตรการลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 64,632 ล้านบาท ลดลง 16,129 ล้านบาท หรือ 20.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก 

อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการเชิงรุก อาทิ EBITDA Uplift, Asset Monetization, การควบคุมค่าใช้จ่ายและการบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่ม ปตท. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในทุกมิติ สร้าง Profit Enhancement รวมกว่า 15,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนการผ่านบททดสอบท่ามกลางความท้าทาย ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ที่แม่นยำภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ละเอียด รอบคอบ และวิสัยทัศน์ที่ถูกทาง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น

"กลุ่ม ปตท. ยังสามารถรักษาการดำเนินงานตามแผนได้ในทุกมิติ โดยมี EBITDA 9 เดือนแรกจำนวน 257,957 ล้านบาท และมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในระดับที่แข็งแกร่งจำนวน 413,718 ล้านบาท รองรับการลงทุนและสภาพคล่องในระยะยาว" ดร.คงกระพัน กล่าว
                                                                                                                                                                                                                                                                     
ทั้งนี้ ภายใต้ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ปตท. เร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ผ่านโครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) และสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดย 9 เดือน มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ 1. การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ P1 และ D1 สร้างผลประโยชน์รวมทั้ง 2 โครงการประมาณ 3,634 ล้านบาท

2. MissionX ยกระดับการทำ Operational Excellence ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ โดยวางเป้าเพิ่ม EBITDA ทั้งกลุ่ม ปตท. ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปีนี้มีมูลค่าประมาณ 8,332 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2570

3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (AXIS) โดยผลักดันการนำ Digital Tools/AI มาใช้ในองค์กรเพื่อสร้างประสิทธิภาพในด้านต่างๆ และให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure โดยต้องมีการ Upskill และ Reskill พนักงานอย่างเหมาะสม วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท มีผลการดำเนินงาน 9 เดือนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 155 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ภายในปี 2572

4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. โดยสร้าง Synergy ผ่านการ Optimize Asset & Capital และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว โดยรวมศูนย์การบริหารสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของกลุ่ม ให้บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship เพื่อซื้อและเช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานจาก GC และ TOP เช่น ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ระบบขนถ่าย ถังเก็บน้ำมันดิบ ทุ่นผูกเรือกลางทะเล สถานีจ่ายน้ำมันทางรถ และธุรกิจบริการรับ จัดเก็บและขนถ่ายสินค้าเหลว ฯลฯ และนำทรัพย์สินดังกล่าวมาบริหารให้เกิดรายได้และผลตอบแทนต่อบริษัทในกลุ่ม เกิด Synergy อย่างเป็นรูปธรรมในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

5. Financial Excellence (F1) บริหารการเงินที่ตอบโจทย์ธุรกิจและเพิ่มมูลค่าองค์กร เช่น ขยายเครดิตเทอมค่าวัตถุดิบให้บริษัทในกลุ่ม และการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน