Phones





SMPC ออเดอร์เต็มมือ หนุนผลงาน Q2 ฟื้นตัว

2025-05-22 19:21:28 83



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - SMPC มั่นใจปริมาณขายปี 68 เติบโต 20% สู่ระดับ 7.7 ล้านใบ หลังลูกค้ายังมีคำสั่งซื้อยังเข้ามาต่อเนื่อง หนุนผลงานไตรมาส 2/68 โตกว่าไตรมาสแรกที่มีกำไร 145 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ High Value เพิ่มมาร์จิ้น รวมทั้งลุยขยายตลาดในภูมิภาค
 
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 นางปัทมา เล้าวงษ์ รองประธานกรรมการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2568 คาดว่ามีการเติบโตดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยจากข้อมูลคำสั่งซื้อในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีคำสั่งซื้อไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประเมินว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สนับสนุนภาพรวมผลงานครึ่งปีแรกของปี 2568 มีการเติบโตที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และเชื่อว่าปริมาณขายทั้งปีนี้จะทำได้ 7.7 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน
 
ล่าสุดประกาศผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 145.45 ล้านบาท ลดลง 8.84 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 154.29 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายลดลง อัตราการทำกำไรใกล้เคียงเดิม มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,026.51 ล้านบาท ลดลง 117.12 ล้านบาท หรือ 10.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,143.63 ล้านบาท เป็นผลจากปริมาณขายที่ลดลง 3.9% จากการชะลอตัวของลูกค้าในแถบแอฟริกาและเอเชีย ผลจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ประกอบกับราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 5% ทำให้ราคาขายลดลง
 
“ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา SMPC ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคง แม้ว่าจะต้องเผชิญความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนก.พ.2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มาตรการภาษีนี้มีผลกระทบต่อผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ โดยตรง แต่เนื่องจากความต้องการสินค้าจากลูกค้าในสหรัฐฯ ยังคงมีสม่ำเสมอเพื่อทดแทนถังเดิมที่เสื่อมสภาพ ประกอบกับต้นทุนผลิตภายในประเทศสูง จึงส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯได้อย่างต่อเนื่อง ” นางปัทมา กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯได้ดำเนินนโยบายขยายส่วนแบ่งทางการตลาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ และกระจายฐานลูกค้าในแต่ละภูมิภาคที่มีความต้องการสินค้าในช่วงเวลาที่ต่างกัน และเพื่อป้องกันกรณีหากพื้นที่ขายใดมีปัญหา ก็จะมียอดขายจากพื้นที่อื่นมาชดเชย ทำให้รายได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
 
นอกจากนี้ ราคาต้นทุนวัตถุดิบซึ่งเป็นเหล็กมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้น รวมทั้งอัตราค่าระวางเรือในไตรมาสแรกของปีนี้ ก็ปรับลงเช่นกัน จากความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการค้าของสหรัฐฯทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน ในด้านการจัดการความเสี่ยงบริษัทได้มีการปรับนโยบายการขายบางส่วน โดยเน้นเสนอขายสินค้าแบบไม่รวมค่าขนส่ง และเสนอค่าขนส่งภายหลังเมื่อใกล้ถึงกำหนดส่งมอบ เพื่อลดความผันผวนจากต้นทุนค่าระวางเรือที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
 
อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงเดินหน้าใช้กลยุทธ์การเติบโตจากโครงสร้างรายได้ส่งออกที่แข็งแกร่งกว่า 90% พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Natural Hedge และการใช้เครื่องมือทางการเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ราคาวัตถุดิบเหล็กที่ลดลงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไร ขณะเดียวกันบริษัทเฝ้าระวังต้นทุนค่าขนส่งที่อาจเพิ่มขึ้น และปรับกลยุทธ์ขายแบบ FOB เพื่อรองรับความผันผวน รวมถึงติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และความเสี่ยง พร้อมแนวทางการรับมือเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต