Phones





NER เดินหน้าโตแกร่ง ควบคู่เน้น ESG

2024-03-19 18:16:53 183



NER เดินหน้าโตแกร่ง ควบคู่เน้น ESG (สกู๊ปพิเศษ)
ยังคงเดินหน้าทำผลงานได้เติบโตแข็งแกร่ง สำหรับ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โดยสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีปริมาณขาย 497,053 ตัน คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 25,045.17 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากการขายในประเทศ 16,259.49 ล้านบาท หรือสัดส่วน 64.92% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 8,785.68 ล้านบาท หรือสัดส่วน 35.08% ของยอดขายรวม และกำไรสุทธิ66 อยู่ที่ 1,545.60 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.17% ของรายได้จากการขายรวม

เช่นเดียวกับการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ NER มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับงวดผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ได้ปันผลในอัตราหุ้นละ 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 628.25 ล้านบาท โดยเป็นการจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 อัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 92.39 ล้านบาท จ่ายไปเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ยังคงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดครึ่งปีหลังอีกหุ้นละ 0.29 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 535.86 ล้านบาท กำหนด Record date วันที่ 23 เม.ย. 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผล วันที่ 9 พ.ค. 2567 

รวมทั้งปี คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 40.65% ของกำไรสุทธิ 
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER ระบุว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดขายยางพาราอยู่ที่ประมาณ 5.1 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 5-10% จากยอดขายปี 2566 เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับปรุงโรงงาน และครื่องจักรเดิมให้มีประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าใช้งบลงทุนราว 30 ล้านบาท 

นอกจากนี้ บริษัทได้ก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสม แห่งที่ 3 มีกำลังการผลิต 302,400 ตัน จะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรก จะมีกำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จปลายปี 2567 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 ภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 818,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 515,600 ตัน เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพลังงานจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) และไบโอแก๊ส ที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี

ในด้าน ESG บริษัทฯ ยังคงดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติด้านบรรษัทภิบาล อาทิ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้สู่ดวงใจพนักงานผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และจะดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ

การสร้างผลงานที่เติบโตต่อเนื่องและแข็งแกร่ง บวกกับการให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น จึงไม่แปลกที่บรรดาโบรกเกอร์ ประสานเสียงเชียร์ "ซื้อ" สำหรับหุ้น NER โดยล่าสุดโบรกเกอร์ 7 แห่ง คงแนะนำ “ซื้อ” พร้อมให้มุมมองเชิงบวกต่อราคายางมากขึ้น หนุนกำไร NER เติบโตแข็งแกร่ง
เช่น บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้กลับมาจัดทำบทวิเคราะห์หุ้น NER ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.80 บาท อิง 2024E PER7x (+0.5SD above 5-yr average PER) จาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1) ราคายางกลับมาเป็นขาขึ้นตั้งแต่ 4Q23 และจะทรงตัวสูงในปี 2024E หนุนโดย a) El Nino ทำให้ผู้ผลิตเร่งสต็อกยาง จากความกังวลปริมาณวัตถุดิบลดลง, b) Global EVs trend ทำให้จีนนำเข้ายางสูงขึ้น (21% ของรายได้รวมของบริษัทมาจากจีน) ขณะที่บริษัท Goodyear ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่โลกชี้ว่ายางรถ EVs จะเสื่อมสภาพเร็วกว่ารถสันดาปถึง 30% เนื่องจากน้ำหนักแบตเตอรี่รถ EVs และระบบเร่งและเบรกที่เร็วกว่า, 2) แผนสร้างโรงงานแห่งใหม่จะช่วยหนุนการเติบโตระยะยาว โดยจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2025E ซึ่งเฟสแรกจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวม +34% และ 3) แนวโน้มผลการดำเนินงาน 1H24E จะโต YoY/HoH หลังบริษัทสามารถ secure คำสั่งซื้อไว้เกือบทั้งหมดแล้ว
  
ประเมินกำไรปกติปี 2024E ที่ 1.8 พันล้านบาท (+12% YoY) กลับมาฟื้นตัวในรอบ 3 ปี ได้อานิสงส์หลักจากราคาขายที่ปรับตัวขึ้นตามทิศทางราคายางธรรมชาติ ส่งออกโดยรวมฟื้นตัว โดยเฉพาะจีน และการขยายลูกค้ารายใหม่ ขณะที่แนวโน้มกำไรปกติ 1Q24E จะโตต่อเนื่อง YoY, QoQ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น และ outperform SET +37% ใน 6 เดือน อานิสงส์ราคายางปรับตัวสูงขึ้น 

เช่นเดียวกับ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ปีนี้ NER จะได้ประโยชน์จากราคายางที่สูงขึ้น คาดว่าแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยยังปรับตัวขึ้นใน 1Q67 และ 2Q67 ขณะที่ปีนี้ผู้บริหารตั้งเป้าปริมาณขายที่ 5.1 แสนตัน และปีนี้จะได้ประโยชน์จากราคายางที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นหลัก ราคาพื้นฐาน 6.15 บาท คงคำแนะนำ ”ซื้อ"