Phones





SCB EIC ลุ้นกนง.หั่นดอกเบี้ยสู่ 1.25% หลังศก.ไทยยังเผชิญความเสี่ยง

2025-06-26 20:21:20 85



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งสู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปีนี้ แม้ปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ดีขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากสงครามการค้า ความเปราะบางของภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง
 
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 นายนนท์ พฤกษ์ศิริ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยการเงิน (กนง.) มีมติ 6:1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% โดยมีกรรมการฯ 1 ท่านเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% การคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้มาจากการประเมินของ กนง. ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาสามารถรองรับความเสี่ยงได้ดีระดับหนึ่ง นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และให้ความสำคัญเรื่องจังหวะเวลากับประสิทธิผลของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าความไม่แน่นอนที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน ประกอบกับ Policy space ที่มีจำกัด ทำให้การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เหมาะสมกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอลงและจะเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
 
โดยในการประชุมครั้งนี้ กนง. กลับมาประเมินกรณีฐาน (Baseline) ของแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดยมองว่าผลกระทบของสงครามการค้ามี “ขอบเขตจำกัดขึ้น” สหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในระดับสูงเป็นวงกว้าง ซึ่งแตกต่างจากการประเมินในการประชุมครั้งก่อนที่ กนง. ไม่ได้ระบุ Baseline ชัดเจน อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกยังคงอยู่ในระดับสูง
 
ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ 2.3% สูงกว่าการประเมินครั้งก่อนที่ 2.0% ใน Reference Scenario (กรณี Tariff ต่ำ) และ 1.3% ใน Alternative Scenario (กรณี Tariff สูง) จากข้อมูลจริงไตรมาส 1 ที่ออกมาดีกว่าคาด และเครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่ยังขยายตัวดี อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี จากการส่งออกสินค้าที่ลดลง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลง นอกจากนี้ สถานการณ์การแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้ายังเป็นปัจจัยกดดันภาคธุรกิจไทย
 
ขณะที่ในปี 2569 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.7% ต่ำกว่าการประเมินครั้งก่อนที่ 1.8% ใน Reference Scenario (กรณี Tariff ต่ำ) แต่สูงกว่า 1.0% ใน Alternative Scenario (กรณี Tariff สูง) ซึ่งสมมติฐานประมาณการ GDP รอบนี้ กนง. คำนึงถึงผลของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทของรัฐบาลเข้าไปทั้งหมด และได้รวมผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาในปัจจุบันไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รวมปัจจัยทางการเมือง โดยกนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 2.0% ไม่มาก หากไม่เกิด Shock รุนแรง จนทำให้เกิด Technical recession (GDP QoQsa ติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน) ซึ่งในอดีตโอกาสที่จะเกิด Technical recession มีไม่มาก หากไม่ได้เกิดวิกฤติ
 

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ประเมินว่าจะอยู่ที่ 0.5% และ 0.8% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยในปัจจุบันไม่เห็นราคาสินค้าลดลงเป็นวงกว้าง ขณะที่ค่าครองชีพบางหมวดยังปรับสูงขึ้น เช่น อาหารสำเร็จรูป เครื่องประกอบอาหาร ดังนั้น กนง. จึงประเมินว่าไทยจะมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) ต่ำ สำหรับสถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน กนง. ยังคงมองว่าเป็นความเสี่ยงด้านสูงต่อเงินเฟ้อ และยังไม่รวมใน Baseline ประมาณการครั้งนี้ ในส่วนของสินเชื่อชะลอลง จากความต้องการสินเชื่อที่ลดลงและความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขันกับสินค้านำเข้า
 
อย่างไรก็ตาม ในการสื่อสารครั้งนี้ กนง. มองว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าจะต้องดำเนินการในจังหวะเวลา (Timing) ที่เหมาะสมเพื่อให้นโยบายการเงินมีประสิทธิผลสูงสุด เนื่องจากมี Policy space ที่จำกัด โดยสถานการณ์ในขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงอาจส่งผลให้นโยบายการเงินมีประสิทธิผลไม่มากที่เท่าควร นอกจากนี้ กนง. มองว่าเครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลจำกัดต่อปัญหาที่กระจุกตัวอยู่ในบางสาขาของเศรษฐกิจ เช่น การเข้ามาแข่งขันของสินค้านำเข้า
โดยการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับการขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อ, ผลกระทบของสงครามการค้า, ความเสี่ยงภูมิศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศ นอกจากนี้ กนง. อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยได้ หากภาวะการเงินตึงตัวเป็นวงกว้างและไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ
 
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่านโยบายการเงินอาจผ่อนคลายเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบอดีต ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงกว่าระดับศักยภาพมาก โดยหากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (โดยคิดจากค่า Median ของเงินเฟ้อคาดการณ์ในอีก 1 ปีข้างหน้าจาก Bloomberg) จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยอยู่ที่ราว 1% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยใกล้เคียง 0% เท่านั้น ดังนั้น ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอาจยังผ่อนคลายไม่เพียงพอตามที่ กนง. ประเมิน
 
โดยกนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะชะลอลงกว่าปีนี้ และนโยบายการเงินต้องใช้ระยะเวลาในการส่งผ่าน ดังนั้น กนง. จึงอาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในปีนี้ เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะชะลอลงในปีหน้า ในระยะข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังเป็นขาลง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และเอื้อต่อกระบวนการลดระดับหนี้ (Deleveraging) ของครัวเรือน ส่วนความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน-สหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยในระยะสั้นได้ หากสถานการณ์รุนแรง จนทำให้ราคาโภคภัณฑ์สูงขึ้น เงินเฟ้อไทยเร่งตัวสูงเกินกรอบเป้าหมาย จะชะลอการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ กนง.
 
SCB EIC จึงมองว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อให้นโยบายการเงินผ่อนคลายขึ้น สอดรับกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2568 และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นทั้งจากสงครามการค้า ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะข้างหน้าด้วย